Wednesday, October 17, 2012

รำพึงถึงการทำนา จากเด็กบ้านนอก


  • 2:20pm

    เคยช่วยพ่อแม่, ญาติ ทำนามาตั้งแต่ยังเล็ก จนเมื่อเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัย และมีงานทำจึงไม่ค่อยมีเวลาช่วยทางบ้านเท่าไรนัก แต่จะกลับบ้านประจำช่วงฤดูเก็บเกี่ยว เพื่อช่วยทางบ้านเกี่ยวข้าว ช่วยสีข้าว ซึ่งปัจจุบันใช้เครื่องจักรแทบจะทั้งหมด และเป็นความภูมิใจเล็กๆที่ได้มีโอกาสช่วยแบ่งเบาภาระของทางบ้าน แม้จะไม่มากมายก็ตาม
    ได้สังเกตุเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของการทำนามาหลายประการ เนื่องจากทางบ้านอยู่ในพื้นที่ภาคอีสานที่แห้งแล้ง การทำนาต้องพึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก แต่ในขณะเดียวกันสำหรับที่นาที่มีหนองน้ำ หรือฝายบางแห่ง มีการบริหารจัดการน้ำที่ไม่เหมาะสม เช่น หนองน้ำในทุ่งนามีขนาดเล็กไป จุน้ำได้น้อย และพอถึงหน้าแล้งมักไม่มีน้ำเหลืออยู่เพื่อใช้ประโยชน์ และบางแห่งที่นามีฝายที่สามารถเก็บน้ำได้ทั้งปีก็ประสบปัญหาในช่วงเก็บเกี่ยว เนื่องจากมีน้ำมากเกินไป ผลผลิตที่ได้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และน้ำเป็นสำคัญ นอกจากนั้นในหลายๆพื้นที่ยังมีการใช้สารเคมีกำจัดปู และหญ้า ทั้งๆที่เมื่อหลังเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วชาวบ้านยังไปขุดปูจากทุ่งนามาทำอาหาร จึงเป็นที่น่าเป็นห่วงถึงสุขภาพอนามัยของชาวบ้าน ได้เตือนพ่อแม่ และชาวบ้านคนอื่นให้เลิกใช้สารเคมีดังกล่าวมาตลอด
    การทำนาที่ต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมี ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทั้งๆที่ชาวบ้านสามารถทำปุ๋ยอินทรีย์ไว้ใช้เองได้ แต่มักจะละเลยเนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก เรื่องค่าแรงที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยชักนำให้บางครอบครัวพยายามลดต้นทุนในการจ้างรถไถ (โดยการซื้อรถไถใช้เอง) ซึ่งยังเป็นปัญหาว่าไม่ทราบว่าไหร่จะคืนทุน การจ้างรถเกี่ยวข้าว แม้จะทำให้การเก็บเกี่ยวเป็นเรื่องง่ายขึ้น แต่ก็เพิ่มภาระเรื่องค่าใช้จ่าย ยังมองว่าสังคมเกษตรกรรมสมัยใหม่นี้เดินทางมาไกลเกิน จนลืมถึงสังคมแบบเก่าที่ชาวบ้านช่วยกันทำนา ลงแขก หาข้าวมากินร่วมกัน แต่มันคงกลับไปลำบาก
    ทุกคนที่มีปัญญาความรู้ ควรแบ่งปันให้กับคนรอบข้าง รวมทั้งสื่อสังคมออนไลน์เพื่อช่วยกระตุ้นสังคมส่วนใหญ่ให้เห็นความสำคัญของปัญหาในทำนาและหาทางออกร่วมกัน ให้มีการพัฒนานวัฒกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้การทำนาง่ายขึ้น และได้ผลผลิตดีขึ้น มีทางเลือกมากขึ้น และควรเป็นเทคโนโลยีที่ประหยัดและยั่งยืน ชาวบ้านทำเองได้ แล้วให้ทานทางปัญญาแก่สังคมส่วนรวม

Tuesday, October 02, 2012

บัณฑิตโชว์ ปีนี้รองแชมป์ 2012

ไม่มีแรงจะเขียน  ดูรูปเลยดีกว่า  ใครเป็นใคร...

































เมืองคุณหมิง มลฑลยูนนาน ประเทศจีน 5 วัน (13-17 กย 55)





วันที่ 1 มาถึงคุณหมิง - ไปดูประตูมังกรที่เขาซีซาน


วันนี้มาถึงคุณหมิงราวๆ บ่าย 2 มีไกด์กับรถทัวมารับ อากาศเย็นราวๆ 12 C น่ะ ฝนปรอยๆ ฟ้าครึ้ม แต่ผมว่ามันสดชื่นนะ ชอบอยู่ ไกด์ฝอยเก่ง พูดไทยได้ ฝอยแหลก แต่ก็พูดผิดๆถูกๆ (ภาษาไทย) ก็หนุกดี
สนามบินคุณหมิง

จากสนามบินเขาพาไป "เขาซีซาน" เป็นอุทยานแห่งชาติ ระยะทางก็ราวๆ ขก.-บ้านไผ่ แถบนี้ระหว่างทางเป็นภูเขาทั้งหมด บ้านคนไม่มี มีแต่อาพาทเม้นเพียบ สูงๆทั้งนั้น ถนนข้ามก่ายกันไปมา การเดินขึ้นเขาต้องค่อยๆเดิน เพราะมันคดเคี้ยว ทางแคบบริเวณไหล่เขา มาถึงที่นี่ต้องต่อรถของอุทยาน ค่านั่งรถคนละ 80 หยวน (แต่ทัวร์จ่ายให้หมดแล้ว) มีเรื่องหวาดเสียวเพราะทางขึ้นเขาเป็นทางแคบคล้ายๆเขาใหญ่ ต้นไม้ หมอก รก และอยู่ริมไหล่เขา มองมาข้างล่างเห็นแต่ทะเลสาบ มีช่วงโค้งช่วงหนึ่งรถทัวร์อีกคันวิ่งสวนมา พอดีทั้งสองคันหยุดทัน เลยรอดไป...เฮ้อ นึกว่าจะชนกันซะ...เหะๆ






มาถึงจุดต่อไป ต้องนั่งรถรับส่งขนาดเล็กขึ้นไปอีก และต้องแวะซื้อร่มด้วยคนละใบ ๆ ละ 20 หยวน...อย่างก๋องแก๋งเลย แต่ทำไงได้ ต้องใช้ร่มเดินขึ้นไป เพราะฝนตกตลอด ทัวร์ที่ีนี่บอกว่า ต้องไปให้ครบทุกที่ ที่ไหนไปไม่ได้ย้ายไปวันหลัง และจะไม่ตัดกำหนดการออก โห...มุ่งมั่นมาก


เดินขึ้นเขา ที่บอกว่ามี 500 ขั้นน่ะ...จริงๆมันไม่น่าถึงหรอก ผมว่าคงราวๆ ดอยสุเทพ ประมาณนั้น มีกระเช้านะ แต่เราไม่ขึ้น นั่งได้คนเดียว น่าจะเรียกเก้าอี้ลอยฟ้ามากกว่านะ


เดินขึ้นเขา้ไปแบบคดเคี้ยว จะมีจุดบวงสรววงเทพเหลายจุดก่อนจะถึงจุดที่ไปกราบไว้ประตูมังกร บรรยากาศก็ดีนะ หนาวๆ เย็นๆ ถ่ายรูปไว้ 4-5 รูป ใช้กล้องพี่ที่พักด้วยกัน ชื่อ สันติสิทธิ์ เรียน ป.เอก ก่อนผม 1 ปี เป็นคนพิจิตร


กลับลงมาจากเขาก็ราว 5 โมงเย็นแล้ว รถวิ่งเข้าเมือง ช่วงนี้แหละ หลับ....เพราะรถติดมากกกกกกกกก ทัวร์พาไปกินข้าวภัตาคาร กับข้าวก็....งั้นๆ (ไม่เสิฟน้ำด้วย จนต้องเรียกให้มาเสิฟ วางไว้แค่แก้ว) ที่ิเสริฟก้มีชา...เสริฟตลอดดดด กับข้าวมี...ผัดหมูพริกหยวก, หมูนึ่ง, หอยแมงพู่ผัดวุ้นเส้น, ซุบเต้าหู้ไข่ใส่หอย 2 ฝา (แต่แงะหอยกินไม่ได้ มันปิดสนิท) ไม่มีช้อน มีแต่ตะเกียบ และช้อนข้าวต้ม ตักกินยากมากกกกกกกก ข้าวสวย และผัดเต้าหู้ และอีก 2-3 อย่าง คำนวณแล้วราวๆ 2500- / โต๊ะอ่ะ ที่สำคัญ....จืดดดดดดดดด ทุกกกกกกก อย่างงงงงง ไกด์รู้ เขาก็เอาน้ำพริกนรกมาให้เรา...ก็ พอกล้อมแกล้ม การบริการเหรอ...มันเป็นภัตตาคารได้ไงไม่รู้...ที่นี่นะ ภาษาจีนหมด พูดไม่รู้เรื่องงงงงงง อย่าหวัง อยากได้อะไรต้องชี้ๆๆๆ สุดท้ายมันเอาแตงโมมาให้คนละชิ้น เออ...แต่อร่อยนะแตงโมที่นี่นะ แต่เสริฟให้แบบ...เสียไม่ได้ วางซ้อนจานกับข้าวเราเล้ย...555 มันคงรำคาญพวกอาจารย์ที่มาด้วยกันมั้ง พูดมาก อ้อ..ทั้งหมด 32 คน 3 โต๊ะ...ชั้นล่างสุดเลย ที่นี่มี 4 ชั้นนะ มองขึ้นไปชั้นบน...อืม อย่างกะราชาแน่ะ รถจอดข้างนอกเยอะเลย ราวๆ 50-60 คันได้...เขาคงอยู่ชั้นบนนั้นแหละ ส่วนพวกผม...ชั้นใต้ดิน ชั้นที่เขาทำกับข้าวนั่นแหละ...หุๆ เจริญ


จากนั้นไกด์พาไปดูไข่มุก , ครีมไข่มุก เขานำเสนอเป็นภาษาไทยนะ คล่องเชียว เอามาให้ อ.ผู้หญิงคนนึงในกลุ่มใส่เดินโชว์ แกถูกใจใหญ่ ทุกคนบอก ซื้อเลยๆๆๆๆๆๆ !! จากนั้น เดินเข้าข้างในร้าน เขาเชียร์เก่งมาก ผมืซื้อจี้มาฝากด้วยน๊า...ไม่บอกว่ารูปร่างยังไง ไม่แพง เหะๆ...ส่วนครีมไข่มุก...ผมลองทาดู (เขาแจกทุกคนทา) แล้วคันมือ เลยไม่ซื้อ


จากนั้นก็มาที่โรงแรม ห้องที่นี่ถ้าเป็นที่ขอนแก่นผมว่าก็คงไม่ต่ำกว่า 800 นะ เป็น รร. 4 ดาว...OK เลย...


วันที่ 2 ป่าหิน และถ้ำจิ่วเซียง



วันนี้แหกตาตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้าแน่ะ (แต่นอนต่ออีก 1/2 ช.ม.) แล้วรีบอาบน้ำแบบหนาวๆ รีบลงไปกินข้าว เพราะกลัวคนอื่นเขาจะรอ ปรากฎว่า มีคนลงมาแค่ ราวๆ 10 คนเอง...อากาศมันหนาวอ่ะ หมอกลงจัด






กับข้าวตอนเช้าก็...เป็นบุฟเฟ่ เดินตักเอา ผมลองกาแฟ รสชาติไม่มีเลย จืดดดดด สนิท ลองกินข้าวต้มถ้วยนึง กับผัดผักคะน้า, ยอดกะหล่ำ, ฮอดด๊อก, แฮม หมั่นโถ สรุป...ไม่แซ่บเลย เหะๆ...เหมือนเดิม กินเสร็จลองเดินๆ ดู เห็นมีถังน้ำเติมอากาศ มีปลา, มีกบตัวเบ้อเร่อ...พวกมันรอวันทำกับข้าวอยู่ เหะๆ อยู่ข้างๆ โต๊ะกินข้าวนั่นเอง


ได้เวลาแล้ว ออกเดินทางไปเที่ยวราวๆ 8 โมงเช้าจากโรงแรม...วันนี้กลัวหนาว เลยใส่เสื้อ 3 ตัวเลย อากาศก็...หนาวนิดนึงแต่ไม่มีฝน รถวิ่งออกมาได้ซัก 30 นาทีก็มีแดด ที่คิดว่าจะไม่เห็นแล้วนะ เช้านี้พวกผมจะไปเที่ยว "ป่าหิน" ที่เมืองซีเหลียง สัญลักษณ์ของคุณหมิงอ่ะ คล้ายๆที่เมืองเลย แ่ต่ที่นี่ใหญ่กว่าเป็น 100 เท่า ไปถึงก็ราวๆ 10 โมงมั้ง ห้องน้ำที่นี่ติดเซนเซอร์หมด ผมเข้าไปแตกปู้ด...เออ ไม่เห็นมีที่กดน้ำ แต่พอเราลุกขึ้นปั๊บ น้ำจะล้างออกมาอ่ะ สุดยอดดดด...


















เดินๆดูบรรยากาศของป่าหินนะ ถ่ายรูปไว้เยอะ ที่นี่สวยมากๆ น่ามาเดินเล่นนะ เส้นทางก็ไม่ยุ่งยาก บรรยากาศดี ไม่มีฝน เดินไม่นาน ราวๆ 1 ช.ม. รวมๆกับเวลาถ่ายรูปเดินเล่น ก็ เที่ยงพอดี หินแต่ละก้อนไม่ใช่เล็กๆ มีลายสลักอักษรอยู่แทบทุกที่ คนมาเที่ยวเยอะด้วยอ่ะ ที่นี่เขาจัดระเบียบดี ห้องน้ำอินเตอร์ ทางเดินก็ดี พวกค้าขายไม่วุ่นวาย สมเป็นมรดกโลก จิงๆแล้วที่เที่ยวทางธรรมชาิติหลายๆแห่งเขาค่อนข้างทำดีนะ ทางรถราก็ดี เป็นระเบียบ ที่สังเกตุเห็นได้คือตึกต่างๆจะสร้างแบบมั่นคงถาวรใหญ่โต ไม่เหมือนบ้านเรา วุ่นวายมากกกกกกกก...สุดๆ เน่า ขยะ เละเทะ พวกมือบอน ไม่มีวัฒนธรรม ที่นี่สะอาดมาก เยี่ยม...ผมเดินไปก็ไปถ่ายรูปกับรุ่นพี่บ้าง อาจารย์บ้าง หรือมีพี่เหน้าที่คณะ พวกพี่วันเรียกไปถ่ายด้วยก็ไป เป็นนายแบบอ่ะ เหะๆ...สบายอยู่แล้วววว !!!



แวะกินข้าวเที่ยงต่างอำเภอ เออ..ที่นี่อาหารรสชาตดีกว่าเมื่อคืนอีกแฮะ พวกเรากินกับอร่อย ออกเดินทางต่อ ระหว่างเดินทางก็หลับไปด้วย ไกด็ก็ฝอยไปเรื่อยตามประสา พอเห็นพวกผมหลับ เขาก็หยุดคุย...ภาคบ่ายนี้ไปที่ "ถ้ำจิวเซียง" ที่นี่เป็นถ้ำที่ใหญ่่มากกกกกกกก มหัศจรรย์แท้ๆ ของโลกเลย ผมอยากให้กับพ่อแม่มาเห็นเอง อธิบายไม่ถูก แต่รับรองจะชอบ ที่นี่ต้องนั่งลิฟลงไปราวๆ 100 เมตรระหว่างหุบเขาที่มีแม่น้ำไหลผ่านทะลุเทือกเขา เกิดเป็นถ้ำคดเคี้ยว และใหญ่โตมโหฬารมาก ทางเดินเป็นบรรได และคอนกรีตมีรั้ว มีไอน้ำและเสียงน้ำตกไหลตลอดเวลา อากาศสดชื่นมาก และเขาติดไฟไว้ให้ตลอดเส้นทาง บรรไดมีทั้งหมดราวๆ 300 กว่าขั้น ค่อยๆเดินลัดเลาะตามริมน้ำและราวบันไดที่ทำติดไว้ที่ข้างหน้าผา เป็นอะไรที่หาได้ยากที่บ้านเรา เหมือนในหนังแฮรี่ กับเรื่องลอร์ด ออฟ เดอะริง อลังการ (ผมว่าพ่อคงชอบ อย่าลืมชวนเพิ่มมาเที่ยวนะ)...ในห้องข้างในมีการแสดง มีหยกรูปร่างแปลกๆ จัดแสดงและขายด้วย เดินอยู่ราว ๆ 2 ชั่วโมงได้มั้ง พอก่อนจะออกมาเส้นทางจะลึกลงไปใต้หุบเขา ครั้นพอจะเดินทะลุถ้ำต้องเดินขึ้นอีกราวๆ 100 ขั้น อีตอนนนี้น่ะ เหนื่อยและปวดขามากๆ แต่ไม่ต้องห่วงเพราะมีเกี้ยวบริการ คนละ 50 หยวน มีอาจารย์บางคน 2-3 คนใ้ช้บริการด้วยอ่ะ แต่ผมเลือกเดินขึ้น ก็เล่นเอาปวดขาเอาการอ่ะ














ทะลุถ้ำแล้ว...นั่งพัก ถึงกับถอดเสื้อออกเลย เพราะเหงื่อแตกพลั่กๆ พักดื่มน้ำด้วย อ้อ..เหลือบไปเห็นม้าในสนามหลายตัว เขาเขียนป้ายว่า "riding horse" ก็เลยขอไกด์ขี่ แต่เขาบอก ไม่อนุญาติ เพราะเขาต้องควบคุมเวลา มีคนเดินรั้งท้ายหลายคน เขาต้องรวมคนเพื่อจะนั่งกระเช้ากลับตำแหน่งเริ่มต้น คือ ตอนในถ้ำเดินทะละหุบเขามา 2 หุบเขา เวลากลับต้องนั่งกระเช้ากลับ เพราะไม่มีทางเดินกลับได้ ถึงไงก็เดินไม่ไหวอยู่แล้วอ่ะ ที่นี่เขาวางแผนไว้ดี ตอนกลับก็เลยประทับใจผสมสยองไปด้วย เพราะเป็นกระเช้าแบบนั่ง 2 คน ผมได้นั่งคู่อาจารย์ผู้ชายที่คณะคนนึง ช่วงที่กระเช้าเคลื่อนผ่านระหว่างเขาสองลูกน่ะ สยองมากกกกกก กระเช้าเปิดโล่งมีแค่ที่จับ รอบตัวเป็นอากาศ ข้างล่างเป็นป่าเขา...เหะๆ...บรื๋อ...อ้อ ตอนถึงจุดสิ้นสุดนะ ปรากฎว่า ทางเหน้าที่เขาแอบถ่ายเราไว้ และชักชวนให้เราซื้อภาพของเราตอนนั่งกระเช้า เหะๆ...แต่ผมไม่ได้ซื้อหรอกนะ เพราะตอนนั่งกระเช้าไ้ด้ตะโกนบอกกระเช้าด้านหน้าผมถ่ายไว้ให้แล้ว...เพียงแต่มันอาจจะไม่ชัดอ่ะนะ



ออกจากถ้ำจิวเซียงด้วยอาการเหน็ดเหนื่อย ... ดูเหมือนทัวร์เขาจะวางแผนไว้ดี เพราะจากที่นี่เขาพาเราไปที่ร้านขายยาสมุนไพร รวมทั้ง "บัวหิมะ" มีน้ำมันชะมด และอีกหลายอย่าง ยานวดทา ยากิน เขาพูดไทยได้ และก่อนเขาจะขายของเขาก็เอาน้ำสมุนไพรร้อนๆมาให้เราแช่เท้า และนวดเท้าไปด้วย บวกกับขายของไปด้วย เหะๆ...มีคนซื้อของไปเยอะ มีหมอมาดูลายมือ มากดจุด และแนะนำยาสมุนไพรให้ เขาพูดไ้ด้น่าเชื่อถือ (จริงๆแล้วเขามีเทคนิคการขายที่ดี เพราะเราเดินเหนื่อยปวดขามาแล้ว เราก็ต้องการจะพัก มีคนนวดเท้าให้ใครจะไม่ชอบ ดีที่มันฟรี) แต่ผมไม่ได้ซื้ออะไรนะเพราะคิดว่า มันน่าจะแพงเกินไป อย่างครีมบัวหิมะ ก็ 1440 ยาหม่องชะมดก็ 1000 ปลาสเตอร์แก้ปวดก็ 1000 มันก็แพงอ่ะนะ แต่หลายคนก็บอกว่ามันได้เยอะ...เ้ค้าว่าผมใช้ครีมของ ซื้อจากจะดีกว่านะ แล้วใช้เคาเตอร์เพนก็ได้ ประหยัด และไม่จำเป็นต้องพึ่งพายาต่างประเทศหรอก เงินทองรั่วไหล


จากนั้นก็ไปดูผ้าไหม ผ้าห่มนอนก็ 8000- มีเสือ้ผ้าด้วย ก็ 1000 ขึ้นอ่ะ ก็ไม่ได้ซื้อหรอกแค่เดินจับๆดู มีอาจารย์ 2 คนที่ซื้อ ตรงนี้ไม่มีไรน่าสนใจ


จากนั้นก็เดินทางไปกิน "สุกี้เห็ด" อื้อ...อีตรงนี้ถือว่าใช้ได้เลย มีเห็ด, ไก่, เป็ด, ผัก เยอะแยะ ที่สำคัญเห็ดอร่อยดี กรอบๆ พวกผักก็คล้ายๆบ้านเรา แต่น้ำซุบแซ่บใช้ได้เลย กลมกล่อม รสชาตดี (เบียร์ขวดละ 5 หยวนเอง = 25 บาท ถ้าเมืองไทยก็ 50 แซ่บอยู่นะ กินง่ายสบายท้อง ฮี่ๆๆๆ)


จากนนั้นก็ราวๆ 3 ทุ่มกลับมาห้อง วันนี้ประทับใจ ไม่เหมือนเมื่อวาน แต่ก็เหนื่อยเอาการนะ ผมเอารูปมาใ้ห้ดูแล้ว ภาพอาจจะไม่ชัดเท่าไรนะ ส่งเมลล์แล้วก็จะอาบน้ำนอนแล้ววว...


ลืมบออกไป ห้องน้ำที่นี่มีประตู แต่...เป็นประตูกระจกมองเห็นทะลุห้องน้ำ 555 โชคดีที่มีผ้าม่านรูดบังได้ ห้องน้ำใหญ่พอๆกับห้องทั้งห้องที่ผมเช่าอยู่เลย ใหญ่มากๆ ถึงจะเป็น รร. 4 ดาวนะ แต่...ไม่มีที่ฉีดก้นแฮะ เออ...แต่อย่างอื่นมีให้หมด แปรงสีฟัน ไหมขัดฟัน สบู่เหลวอาบน้ำ แชมพู ไม้ขีดไฟ (สำหรับสูบบุหรี่ สงสัยคนแถวนี้ชอบสูบบุหรี่มากมั้ง)


แค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ไม่มีรายการเที่ยว ต้องไปนั่งฟังประชุมวิชาการ แต่คงจะไปหลับมากกว่านะ


วันที่ 3 ประชุมๆๆๆ



วันนี้ตื่นเช้าเหมือนเดิม และนั่งฟังเขาปรระชุมๆๆๆ น่าเบื่อ มีหลับบ้าง

ข้าวเที่ยงก็พอกินได้ เหมือนเดิม คนเยอะ เพราะมีมาจากหลายที่ พม่า, เวียดนาม, ไทย, ลาว, เขมร แล้วก็พวก ป.ตรี ของมหาวิทยาลัยที่นี่

วันนี้มีแต่พวกคณบดีของแต่ละมหาลัยมาพูด ผมเจอพี่ๆหลายคนที่มาจาก ม. ต่างๆ อ่ะ

ตอนเย็นก็เป็นงานเลี้ยงต้อนรับในมหาลัยนั่นแหละ ก็กินๆไปงั้นแหละ

สรุปว่าวันนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไร กลับมาถึงก็ 5 ทุ่ม พึ่งซ้อมนำเสนอไป แก้สไลด์ด้วย

คืนนี้ต้องรีบนอนอ่ะ เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่น ตี 5 ครึ่ง ตายแน่ะๆ


พรุ่งนี้ประชุมเสร็จจะไปเดินซื้อของหน่อยอ่ะ


วันที่ 4 นำเสนอผลงาน




วันนี้ตื่นแต่เช้าเลย เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลย ตื่นมาตอนตี 3 ครึ่งเฉย จากนั้นก็ข่มตาหลับ แล้วฝันมั่วอะไรบ้างไม่รู้


ลงมากินข้าวแบบจำใจ กับข้าวเหมือนเดิมทู้กกกกกก อย่าง ก็ทนๆกินไป กันหิวอ่ะ ตอนออกจากโรงแรม มีอาจารย์คนนึงลืมแฮนดี้ไดรเฉย แกกลับขึ้นมาหาบนโรงแรม ทำให้รถออกช้า ไปถึงก็ 8.45 สายเลย


นั่งฟังเขานำเสนอตอนเช้าก็น่าสนใจดี พักเบรกตอน 10.30 แล้วก็มารอนำเสนอ เหะๆ ถึงคิวผมก็ต้องรีบๆพูด เพราะเขาให้เวลาแค่ 8 นาทีเอง แต่ผมก็พูดได้ทันเวลาเป๊ะ...ก็มีพี่ๆ, อาจารย์ชมว่า OK อ่ะ เสียอย่างเดียวมีเสลดในคอทำให้พูดไม่ชัดเท่าไร แต่ก็ผ่านไปได้ สบายใจ



คนสุดท้ายพูดเสร็จกก็ถ่ายรูปร่วมกัน เวลาน้อย ไม่มีคนถามเลย เหะๆ...น่าเสียดาย เวทีนี้ไม่สมบูรณ์เท่าไร ผู้จัดจัดตารางไม่ดี


จากนั้นเที่ยงก็กินข้าว เมนูก็แบบเดิมอีก แต่ก็ไม่สนใจแล้ว เพราะเที่ยงนี้หิวมากๆ...เดินคุยกันกับพี่ที่เป็นอาจารย์จากม.นเรศวร, ม.เทคโนสุระ แล้วภาคบ่ายก็ไปฟังอาจารย์ในคณะคนอื่นๆนำเสนอ จนเสร็จคนสุดท้าย แล้วรถก็มารับ


รถพาไปเดินซื้อของขายส่ง เปป็นศูนย์ขายส่งที่ใหญ่มากกกกกก ใหญ่กว่าเซ็นทรัลราวๆ 100 เท่าอ่ะ จนไม่รู้จะเดินยังไง มี 4 ชั้น (แต่ก็ซื้อของฝากแล้วนะ ไม่บอกว่าอะไร เดี๋ยวก็รู้ เหะๆ)


5 โมงเย็นแล้ว รถพาไปที่...ร้านขายหยก...มันเป็นแผนของไกด์กับร้านหยกอ่ะ นั่งมาจน 6 โมงเย็นก็ถึง ตอนเดินทางนะ ไกด์จะบอกว่า ไปประมาณ 20 นาทีทุกที แต่เอาเข้าจริงๆก็ 1 ช.ม.ตลอด.....หยกที่นี่สวย (ตามแบบที่เขาบอกขาย เขาเชียร์กับแบบนั้น) แต่ผมไม่ค่อยสนใจ คนขายก็แนะนำไปเรื่อย บางคนพูดไืทยได้ ผมก็ได้แต่เดินๆดู มีอาจารย์คนนึงซื้อไปถึง 17000- บาท ผมเดินออกมารอข้างนอก คุยกับอาจารย์คนนึง แล้วรู้สึกว่านานไป หิวข้าว ก็เลยแวะเข้าไปในร้าน ที่น่าแปลกใจคือ หยกห้อยคอจากราคา 1,680- ลดเหลือแค่ 100- หยวน ในตอนนี้...555 และจริงๆแล้วพวกไกด์เขาได้ % ด้วย ไกด์ก็บอกอย่างนั้น พูดตรงๆ...ก็ดีไปอย่าง


ออกจากร้านหยก ก็แวะกินข้าว ภัตาคารเหมือนเดิม โต๊ะจีน กับข้าวอร่อยนะ แต่มีแค่โต๊ะพวกผมเท่านั้น ร้านผมเปิดรอปิดร้านอ่ะ 555 ที่นี่ภัตาคารไหนๆก็ไม่เสริฟน้ำ มีแค่โค้ก, ชา และเบียร์ โต๊ะละขวด โตะละกาน้ำชา


จากนั้นก็กลับมาที่ห้องเตรียมเก็บของ ไกด็บอกว่า พรุ่งนี้จะพาไปไหว้พระ วัดหยวนทง อะไรงี้แหละ แล้วไกด์เอาขนมมาขายด้วย ก็เลยฝากเขาซื้อไปแล้ว พรุ่งนี้เครื่องออกบ่าย 3 ถึง กทม. ก็คง 5 โมงเย็นอ่ะ...แล้วก็จะเตลิดขอนแก่น ไม่รู้จะถึงกี่โมงอ่ะ


กลับมาถึงโรงแรมไปเดินดูร้านขายของแถวนี้ (วันก่อนไม่เคยเดินเลย) เห็นทับทิมลูกใหญ่รสชาตไม่เลว ก็เลยซื้อไปฝากแล้วนะ โอเลย แซ่บดี เย็นๆฉ่ำๆ


วันที่ 5 วัดหยวนทง, ตำหนักทอง, กลับ กทม., ขอนแก่น

วัดหยวนทง ในบ่อน้ำมีเต่าเยอะแยะ  แต่น่าสงสารเห็นมันว่ายไปมา น้ำก็เขียวๆ

ทางขึ้นตำหนักทอง มีแม่ค้ามาขายของ  ขายดีมากๆ

หน้าทางขึ้นตำหนักทอง

ถ่ายรูปร่วมกันกับกรุ๊ปที่มาจาก PH KKU หน้าหินอ่อนก้อนใหญ่ ทางขึ้นตำหนักทอง


รวมภาพใน Facebook

https://www.facebook.com/media/set/?set=a.10151163499544137.470466.523139136&type=1&l=8b74aa47b1