Saturday, February 23, 2008

โจนาทาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล

หนังสือ เรื่อง "โจนาทาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล"
ผู้แต่ง ริชาร์ด บาก
ผู้แปล ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

สรุป
ในตอนแรกที่ “นางนวลโจนาธาน” ฝึกบินเพียงลำพังเพื่อค้นหาวิธีที่จะบินให้ได้เร็วเหนือนางนวลทั้งหมด เขาได้ลองผิดลองถูกจนสามารถบินด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่นางนวลปกติจะทำได้ แต่เขาถูกขับไล่ออกจากฝูงให้กลายเป็น “ตัวหัวเน่า” ฐานประพฤตินอกคอกจาก “กฎของฝูง” ของนางนวลที่ควรจะมีชิวิตอยู่เพื่อ “กิน” เท่านั้น และบอกว่าชีวิตเป็นเรื่องลี้ลับและจะเรียนรู้ไม่ได้ ถึงกระนั้นโจนาธานก็ไม่ได้ลดละความพยายาม เขาเห็นว่าการบินเป็นคำตอบเดียวของนางนวล เป็นทางออกของชีวิต เป็นหนทางแห่งเสรีภาพทั้งปวง และเป็นสิ่งที่นางนวลทุกตัวควรจะมีและแสวงหา โจนาธานไม่อาจจะเข้าถึงหัวใจที่แท้จริงของการบินได้หากปราศจาก “เจียง” นางนวลเฒ่าที่สอนเขาให้รู้จักการบินที่แท้จริงที่จะนำไปสู่หนทางหลุดพ้น จากนั้นโจนาธานก็กลับมาที่ฝูงด้วยความเป็นเลิศในการบิน เขาได้รับการต้อนรับจากนางนวลที่ให้ความสนใจ พร้อมๆกับการต่อต้านและรังเกียจจากฝูงนางนวลบางส่วนที่ยังยึดมั่นในกฎ จากนั้นเริ่มมีนางนวลสมัครเข้าฝึกบินกับเขา และพัฒนาฝีมือในการบินอย่างสม่ำเสมอ ภายใต้การแนะนำของโจนาธาน หนึ่งในนั้นคือ “นางนวลเฟรตเชอร์” ผู้มีฝีมือเป็นเลิศและเจริญรอยตามโจนาธาน และกลายเป็น “ลูกชายนางนวลผู้ยิ่งใหญ่” ท้ายที่สุดเขาได้สืบทอดการฝึกบินนี้ให้กับฝูงนางนวลทั้งหลาย

วิจารณ์
ผู้เขียนซึ่งมีอาชีพนักบินได้ถ่ายทอดเรื่องราวของนางนวลโจนาธาน ลิฟวิงสตัน ซึ่งเป็นชื่อของนักบินที่เขาชื่นชอบ ด้วยความที่ผู้เขียนเป็นผู้ที่ชื่นชอบการบินเป็นที่สุด ดังนั้นการบรรยายถึงลักษณะท่าทางของการบินของนางนวลโจนาธานน่าจะกลั่นกรองจากความรู้สึกและแรงบันดาลใจของผู้แต่งเอง และดูเหมือนผู้แต่งจะใส่ตัวตนของเขาเข้าไปในนางนวลโจนาธานด้วย แล้วสอดแทรกความสนุกสนานในการค้นหาวิธีบินให้เร็วจนนำไปสู่การค้นหาตัวตนที่แท้จริง การเข้าถึงแก่นแท้ของชีวิต อันได้แก่เสรีภาพของการดำรงอยู่ การดำเนินเรื่องมีความต่อเนื่องติดตาม มีบางจุดที่มีเรื่องราวเกินจริงและทิ้งความน่าพิศวงไว้ให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมในการจินตนาการของเนื้อเรื่องด้วย เพื่อชักชวนให้ผู้อ่านเข้าถึงปรัชญาที่แฝงเร้นอยู่และที่เขียนต้องการสื่อออกมา เช่นการที่นางนวลโจนาธานเปล่งแสงได้แล้วหายวับไปกับตา และเปลี่ยนตำแหน่งที่อยู่ผ่านห้วงเวลา หรือการที่นางนวลเฟรตเชอร์พุ่งชนหน้าผาด้วยความเร็วสูงแล้วรอดชีวิตโดยไม่มีอาการบาดเจ็บเลย
ในตอนท้ายของเรื่องผู้เขียนได้ชักนำให้เรื่องราวของหนังสือไม่ได้อยู่ที่ “การบิน” ด้วยความเร็วเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของ “การแสวงหาความจริงของชีวิต” มากกกว่า และทั้งสองสิ่งกลายเป็นเรื่องเดียวกันในที่สุด ผู้เขียนได้ใช้การฝึกฝนเรื่องความเร็วของการบินปูทางไปสู่การหลุดพ้นได้อย่างแนบเนียน ซึ่งหากจะพิจารณาถึงประเด็นดังกล่าวที่มีผู้วิจารณ์บอกว่าเป็นปรัชญาที่แฝงไว้ในศาสนาพุทธ, คริสต์, ฮินดู ก็ดูจะไม่ผิดนัก และโดยเฉพาะศาสนาพุทธ นั่นคือ “การหลุดพ้น” อันเป็นเป้าหมายสูงสุด ซึ่งบรรลุลงได้ด้วยการละทิ้งกิเลส ความชั่วทั้งปวง แล้วบำเพ็ญตนให้บริสุทธิ์ ด้วย ศีล ทาน ภาวนา จนเข้าสู่นิพพาน

Link :

Monday, February 18, 2008

สรุปประเด็นที่ได้จากการอ่าน "อนาคตระทึกขวัญ"


หนังสือ เรื่อง "อนาคตระทึกขวัญ"

ผู้แต่ง อัลวิน ทอฟเลอร์

ผู้แปล กำพล นิรวรรณ


ผู้เขียนได้อธิบายถึงปรากฎการณ์การเปลี่ยนแปลงต่างๆในโลกที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และทิศทางการเปลี่ยนแปลงในหลายรูปแบบ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลอย่างกว้างขวางต่อระบบการดำเนินชีวิต สังคมวิทยา จิตวิทยา ของมนุษย์ นอกจากนั้นอัตราเร่งของการเปลี่ยนแปลงในแต่ละสังคมยังมีไม่เท่ากัน และในสังคมเดียวกันก็มีความเร็วไม่เท่ากัน ซึ่งทำให้เกิดภาวะที่ไม่สมดุลย์ในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และความคิดขึ้นทั้งในสังคมโลก และที่ผ่านมามนุษย์มีพฤติกรรมในหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทั้งต่อต้าน และยอมรับ ทั้งนี้การตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปของมนุษย์ในแต่ละวัยก็มีความแตกต่างกัน การรับมือกับปัญหาส่วนตัวและส่วนรวมของมนุษย์ต่างมีรูปแบบที่หลากหลายผู้เขียนได้อธิบายถึงสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็ว ได้แก่


  • การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความต้องการด้านที่อยู่อาศัย อัตราการบริโภคสินค้าและบริการ การใช้เผาผลาญพลังงาน การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และการก่อมลพิษ

  • การพัฒนาเทคโนโลยีอันเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการพัฒนาเครื่องมือในการทำงาน พาหนะในการเดินทาง การติดต่อสื่อสาร


ผู้เขียนได้เสนอแนะวิธีการอย่างกว้างๆ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทั้งในปัจจุบันและอนาคต ผู้เขียนได้เสนอแนะให้เปิดกว้างทางความคิด เพื่อที่จะทำความเข้าใจกับปัญหาต่างๆอย่างมีเหตุผล รวมทั้งการใช้จิตนาการเข้าประกอบการพิจารณาบทบาทของอนาคตที่มีผลกับปัจจุบัน พยายามให้เกิดมุมมองใหม่ต่อระบบการศึกษาและพยากรณ์อนาคต โดยเสนอว่าควรมีการศึกษาเรื่องอนาคตนิยม หรือดินแดนในอุดมคติขึ้น อย่างจริงจังต่อเนื่อง โดยสังคมต้องเปิดกว้างและให้การยอมรับ โดยร่วมมือกันในหลายนักวิชาการหลายแขนง แล้วนำผลการศึกษามาเผยแพร่ทางสือหลายรูปแบบ เพื่อให้สังคมรับรู้และเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และทดลองใช้ชีวิตพร้อมๆ การปรับตัวภายใต้เงื่อนไขที่จะเกิดขึ้น พัฒนาและใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ พร้อมกับมีหน่วยงานตรวจสอบและประเมินเทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบ ถึงผลกระทบก่อนนำออกใช้



วิจารณ์
ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสังคมโลก อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของการพัฒนาเทคโนโลยี และการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก โดยเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในอดีต สาเหตุดังกล่าวทำให้เกิดความแตกต่าง เหลื่อมล้ำในหลายๆ สังคม ในเชิงความคิด เศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ และนำไปสู่ความขัดแข้งและความไม่เข้าใจกันในวงกว้าง เป็นเหตุให้เกิดกลุ่มสังคมใหม่ๆ ขึ้นเพื่อรองรับและบรรเทากับความตึงเครียดของสถานการณ์ต่างๆ และผู้เขียนยังได้แสดงความวิตกอย่างแรงถึงอนาคตแห่งความสับสนที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาในสังคมโลก และได้หาทางออกด้วยการนำเสนอรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ควรจะเป็น การให้มีหน่วยงานตรวจสอบเทคโนโลยีก่อนนำออกมาเผยแพร่และใช้งาน เป็นต้น
ประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับผลกระทบที่ผู้เขียนได้บรรยายถึงจากอดีตถึงปัจจุบันเป็นเรื่องที่น่าคิด และสัมผัสได้ในหลายเรื่อง เนื่องจากผู้เขียนมองภาพในมุมกว้างและพยายามหยิบยกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์มานำเสนอ ซึ่งหากวิเคราะห์ให้ดีแล้วจะพบว่าเป็นความจริงที่มนุษย์เราได้เดินทางจากอดีตถึงปัจจุบันตามกระแสของโลกาภิวัตน์ คือด้านหนึ่งได้ดำเนินชีวิตไปตามกระแสของการพัฒนาเทคโนโลยี และถูกชักจูงให้ไหลตามวิถีของการเมืองการปกครอง ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นเพราะมนุษย์รวมกันอยู่เป็นสังคม ย่อมถูกกำหนดด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ และอีกด้านหนึ่งเป็นทางเลือกที่มนุษย์เลือกเองว่าจะดำรงชีวิตภายใต้กฎเกณฑ์หรือไม่เพียงใด และทั้งสองด้านมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล แต่นั่นไม่เท่ากับการแปลี่ยนแปลงสำคัญๆ โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยี เศรษฐกิจ การเมือง ที่เป็นตัวกำหนดชะตากรรมของมนุษย์ให้เป็นไปทางใดทางหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่การย้อนคิดถึงผลกระทบจากเรื่องอดีตนั้นอาจไม่จำเป็นเท่ากับการนำประสปการณ์ต่างๆ ในอดีตมาศึกษาเรียนรู้ ป้องกันและแก้ไขให้ดีขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา เพียงแต่จะให้เกิดผลได้ต้องมีความร่วมมือจากนานาประเทศ
ส่วนแนวคิดเรื่องการสร้างเมืองในอุดมคติ มีหน่วยงานตรวจสอบประเมินเทคโนโลยี หรือพยากรณ์เรื่องอนาคต การให้มีนักคิด นักวิชาการในหลายๆ แขนงมาช่วยกันศึกษานั้นก็เป็นแนวคิดที่ดีและน่าดำเนินการ และเป็นทางออกที่น่าสนใจในการลดความรุนแรงของอนาคตระทึกขวัญ และผู้เขียนได้แนะนำให้บุคคลต่างๆเหล่านี้ได้เข้าไปทำงานในหลายๆหน่วยงาน ทำหน้าที่วิเคราะห์ วิจัย ตรวจสอบนโยบาย ผลิตภัณฑ์ต่างๆขององค์กร ในด้านที่อาจจะส่งผลกระทบต่อมนุษย์ ซึ่งอันที่จริงลักษณะการทำงานดังกล่าวก็น่าจะมีบ้างแล้วเช่นในเรื่องของสิ่งแวดล้อมก็มีกฎหมายเกี่ยวกับการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม มีผู้เชี่ยวชาญประเมินถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางลดผลกระทบ เป็นต้น แต่เรื่องทั้งหมดจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายการเมือง ฝ่ายกฎหมาย/นโยบาย และฝ่ายปฏิบัติ ภายใต้ความสุจริตใจไร้ความลำเอียงใดๆ และไม่ควรมีเรื่องธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง และร่วมมือกันทั้งโลก มีสนธิสัญญาเป็นเรื่องเป็นราว และมีบังคับและการตรวจสอบที่ชัดเจน

Sunday, February 17, 2008

แก้ปัญหาเมนบอร์ดมองไม่เห็น RAM

เจอปัญหาง่ายๆ ที่บางครั้งเราก็ไม่รู้...(ตามประสาคนอ่อนหัด) ท่านเทพทั้งหลายอ่านเจอคงตลก...แต่ความรู้มีไว้เผื่อแผ่นี่เนาะ...
ู้
อุปกรณ์
  • CPU : Celeron 1.3 GHz/256/100 1.5 V.
  • RAM 2 x 128 MB./133
  • Mainboard GA-6VEML Socket 370, Support 66/100/133 Bus
ปัญหา
  • BUS ของ CPU 100 MHz ส่วนของ RAM 133 MHz มีขนาดไม่เท่ากัน เวลาใส่ RAM 2 ตัว มองเห็นแค่ตัวเดียว
วิธีแก้ไข

ต้องกำหนด BUS ของ DRAM ให้เป็น 100 โดยเข้าไปใน BIOS แล้วตั้งค่าที่จำเป็นอื่นๆ ดังนี้ (อาจต่างกันในเมนบอร์ดรุ่นอื่น...)
  • Advance Chipset Feature
    • Bank 0/1 DRAM Timing : (SDRAM 8/10 ns)
    • SDRAM Cycle Length : (3)
    • DRAM Clock : (Host CLK)
  • Frequency Voltage Control
    • CPU Host Clock (CPU/PCI) : (100)
(หมายถึงกำหนดค่า DRAM Clock เท่ากับของ CPU ซึ่งก็คือ 100 MHz นั่นแหละ นี่ถ้ามี RAM Bus 100 ก็คงไม่ต้องทำอย่างนี้สินะ แต่บางทีเมนบอร์ดบางรุ่น (เก่าๆ) ก็จำเป็นต้องตั้งค่าให้มันเพิ่มเติมอ่ะนะ...)

Bye...

Monday, February 11, 2008

เกมโยนเม็ดมะขาม


บทความนี้นำมาจาก phkku.com ตอนแวะไปตอบกระทู้น้องหนุ่ม PH 15 และเทพเมรัย...

เทพเมรัย : "ข้าพเจ้าไม่ชมชอบฟุตบอล แต่ชมชอบบรรยากาศเชียร์ฟุตบอล คนนี่ก็แปลก เที่ยวไล่เตะลูกยางกลมๆ กันรอบสนามอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เพื่อเตะมันให้ผ่านโครงเหล็กเป็นช่องที่เรียกว่า ประตู"

ผมตอบ...
เพื่อนเทพฯ จะยิ่งแปลกและขำขึ้นไปอีกหลายคำรบ หากได้พบว่า...ยังมีกีฬาอีกหลายประเภทที่เล่นในลักษณะใกล้เคียงกัน คือมีลูกกลมๆ ใช้เตะหรือตีให้มันลงไปในห่วง หรือลงรู อะไรเทือกนั้น บางอย่างตีให้ข้ามตาข่าย ซะงั้น...



สมัยเราเป็นเด็กในยุคที่คอนกรีตเข้าไปในหมู่บ้าน...เคยเล่นสนุกกับบรรดาเพื่อนเด็กด้วยกัน โดยใช้เม็ดมะขามต่อเป็นแถวยาว ที่หัวแถววางลูกมะขาม 3 ลูกเป็นสามเหลี่ยม และวางอีกลูกไว้ตรงกลาง เขาเรียกว่า "รถไฟ" เราและคู่แข่งอีกหลายคน แต่ละคนพกพาเม็ดมะขามไว้เต็มกระเป๋ากางเกง ทุกคนยืนห่างออกไปราว 20 ก้าว แล้วโยนเม็ดมะขามคนละเม็ดโดยเลือกเม็ดที่คิดว่าใหญ่สุด หนักสุดเพื่อตัดแถวรถไฟมะขามให้ขาด ใครตัดตรงไหนก็รวบเอาจนถึงหาง ใครโยนโดนที่หัวก็ได้ทั้งแถว บางครั้งทะเลาะกันเพราะโดนพร้อมกัน...พวกเราไม่มีเงิน จึงต้องเล่นพนันแบบนี้ และมันก็สนุก ดุเด็ดเผ็ดมันส์เอาเรื่องเหมือนกัน บางวันเล่นตั้งแต่เช้า ไม่ห่วงแม้ข้าวงาย (ข้าวเช้า) ถึงแม่จะมาตามพร้อมดุว่าก็ตามที ...ความต้องการเอาชนะมันฝังในหัว เกมส์ หรือกีฬามันก็เริ่มด้วยเหตุนี้...กระมัง

เม็ดมะขามที่ว่า เราล่อนออกจากผลของมันที่ได้จากการวิ่งไล่แย่งกันกับเพื่อนของเรา ใต้ร่มมะขามใหญ่ในสวน มะขามเปรี้ยวจะให้เม็ดที่ใหญ่กว่ามะขามหวาน ในยามลมมรสุมรุมแรง ผลมะขามสุกทั้งเล็กลูกใหญ่โค้งงามที่มีหลายข้อ หรือมะขามข้อเดียวก็ร่วงลงตามพื้น...เราไม่หวั่นแม้กิ่งไม้จะร่วงตาม หรือฝนจะพร่ำ เมื่อได้มะขามเต็มโซนเสื้อ (ใช้ชายเสื้อดึงขึ้นทำเป็นถุง) เราก็รู้วิธีที่จะเอาเม็ดของมัน โดยเราหลอกล่อแม่ของเราว่าเก็บมะขามมาให้แม่ไว้ทำกับข้าวหลายอย่าง ทั้งต้มยำปลาช่อน ต้มไก่ ต้มเปรตปลาไหล แจ่วบอง หรือคั่วเม็ดมะขามให้พ่อเคี้ยวเล่นยามว่าง ก่อนที่แม่เราจะรับไป แม่จะดุเราก่อนว่าไม่ให้ออกไปไหนตอนลมแรงประเดี๋ยวกิ่งไม้หล่นใส่หัวแตก... เรารับคำแบบผ่านๆ แล้วไม่นานเราก็ได้เม็ดมะขามเยอะแยะ ใส่ขวดโหลไว้...หุๆ จากนั้นความสนุกก็อยู่ในหัวของเรา...

หวังว่าเพื่อนคงจะนึกออก และถ้าไม่เคยเล่น หากเราได้พบกัน เราอาจเล่นให้ดู อ้อ...พวกผู้ใหญ่ชอบเอาเม็ดมะขามนี้ไปผ่าครึ่ง ใช้ 4-5 เม็ด โยนแล้วใช้กะลาครอบไงเพื่อน ไอ้นี่เขาเรียก "โบก" ไง คงจะนึกออกกระมัง ส่วนน้องๆ รุ่นแอ๊บแบ๊วอาจงงๆ ว่าพี่เขียนอะไรให้อ่านฟะเนี่ย...เพราะทุกวันนี้เขาเลิกเล่นเพราะตำรวจไล่จับ คงเหลือแค่ไฮโล และคาสิโนที่เขมร หรือพม่ารามัญนั่นไง บ้านเราเปิดไม่ได้ เลยไปเล่นมัที่ต่างประเทศ บางคนหอบเงินหลายล้ายไปเล่นที่ลาสเวกัส...

เขียนถึงกีฬาลงรู...ไหงกลายเป็นการพนันไปได้ ข้อคิดก่อนจาก คือเล่นกีฬาให้เป็นกีฬานะครับพี่น้อง หลีกหนีให้ห่างจากการพนันอบายมุขได้เป็นดี ชีวีจะเจริญนะ เยเมน...

แถมอีกนิด...ประโยชน์ของมะขาม

ใบมะขามแก่ช่วยขับเสมหะ แก้บิด แก้ไอ เนื้อในของฝักมะขามแก่ แก้ท้องผูก แก้ไอ ขับเสมหะ แก้กระหายน้ำ มะขามเปรี้ยวๆ แก้งวงได้ดี ไม่เชื่อเวลาขับรถไปกับหวานใจ ลองพกมะขามไปด้วย ได้ผลชะงัดนัก บางทีเหนื่อยๆ ลองแวะชมวิวข้างทางกับหวานใจ แล้วงัดมะขามที่เตรียมไว้ออกมาจิ้มน้ำพริกน้ำปลา ใส่น้ำตาลลงไปพอหวานปะแล่ม...รับรองสุขีสโมสรนักแล...

Sunday, February 10, 2008

การสร้าง USB Flash Drive สำหรับบูตเครื่อง (Bootable Flash Drife) จาก Hiren ' Boot CD

อุปกรณ์

  1. แผ่น Hiren 's Boot CD ดาวโหลดได้จาก http://www.hiren.info แล้วเขียนลง CD
  2. USB Flash Drive
  3. คอมพิวเตอร์ (ที่สามารถกำหนด BIOS ให้บูตจากแฟลชไดร์ได้)
  4. โปรแกรมฟอร์แมตแฟลชไดร์ฟ ดาวโหลดได้จาก USB Disk Storage Format
  5. โปรแกรม UltraISO (ลองค้นใน Google ดูนะครับ มีหลายเว็บที่เปิดให้ดาวโหลด...)
ขั้นตอน

  1. ใส่แผ่น Hiren's Boot CD (ผมใช้เวร์ชั่น 8.0) แล้วสร้าง Boot file โดยใช้โปรแกรม UltraISO ซึ่งจะได้ไฟล์ Hiren'sBootCD8.0.bif เซฟไว้ที่ D:\Hiren


  2. เปิดไฟล์ Hiren'sBootCD8.0.bif ด้วยโปรแกรม UltraISO ซึ่งจะมองเห็นไฟล์ต่างๆ ดังรูป


  3. เลือกไฟล์ทั้งหมด (กด Ctrl + A) แล้วคลิกขวา... extract ไฟล์ทั้งหมดไปไว้ที่ D:\USB ดังรูป


  4. ฟอร์แมต USB Flash Drive ด้วยโปรแกรม USB Disk Storage Format ที่ดาวโหลดไว้ตอนแรก โดยเลือก boot file จาก D:\USB ดังรูป


  5. เมื่อฟอร์แมตเสร็จ ใน Flash Drive จะมีไฟล์ IO.SYS, MSDOS.SYS, COMMAND.COM จากนั้น copy โฟลเดอร์ BootCD จากแผ่น Hiren Boot CD มาไว้ใน Flash Drive แล้ว copy ไฟล์จาก D:\USB (ห้าม copy ไฟล์ IO.SYS ทับไฟล์ IO.SYS นอกนั้นสามรถทับได้)
  6. ลบไฟล์ JO.SYS จาก Flash Drive เป็นอันเสร็จครับ..
  7. ทดลองบูตจาก Flash Drive ที่สร้างเสร็จแล้ว โดยกำหนด BIOS ให้บูตจาก Flash Drive ...

อ่านเพิ่มเติม

http://www.hiren.info/pages/bootcd-on-usb-disk

Monday, February 04, 2008

วัฒนธรรมเพี้ยนๆ...

รัฐบาลตั้งกระทรวงวัฒนธรรมขึ้นมามาดูกันซิว่า เขามีงานอะไรทำบ้าง

ในอดีตเคยมี รมต.กระทรวงนี้ปิ๊งไอเดียเด็ดจะนำพระเข้าไปสวดมนต์ในห้าง ประมาณว่าจะให้ผู้คนที่ไปเที่ยวห้างนอกจากจะได้สินค้าฟุ่มเฟือย, ดูหนังน้ำเน่า, แฟชั่นแต่งตัวบ้าบอแล้ว ยังได้รับบุญกุศลกลับไปบ้านด้วยอีกแรงหนึ่ง ผมรู้สึกอยากจะเอาหัวชนกำแพง ...เฮ้อ คิดได้ไงนี่ น่าสรรเสริญ

และล่าสุดได้ยินว่ากระทรวงนี้จะหาทางแก้ไขปัญหาพวกเด็กวัยรุ่นมั่วเซ็กส์โดยจัดตั้งโครงการบวชสามเณรฤดูร้อน, ออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท, ฟังเทศน์อบรมบ่มนิสัย แล้วคิดเหรอว่าโครงการพวกนี้จะแก้ปัญหาเด็กใจแตกอะไรพวกนี้ได้ นอกจากนั้นกระทรวงนี้จะจัดระเบียบหอพัก โดยเข้าไปตรวจสอบหอพักที่ปล่อยปละละเลยให้เด็กนักเรียนมาพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ฉันท์สามีภรรยา โดยเข้าไปกวดขันเจ้าของหอพัก หากพบเหตุการณ์ดังกล่าวจะจับและปรับเจ้าของหอพัก อะไรเทือกนั้น

ผมเขียนถึงเรื่องน่าเบื่อและซีเรียสนี้ เพียงเพื่อจะบอกว่า การแก้ไขปัญหาแบบนี้มันแสนจะตลกและไม่สอดคล้องกับเหตุของปัญหาเอาเสียเลย ไม่ต่างอะไรกับการที่คุณทักษินให้ชาวบ้านพับนกกระดาษแล้วขนขึ้นเครื่องบินโปรยลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นี่ก็เช่นกัน คนยิงกันเดือดร้อน คงแก้ไม่ได้เพียงพับนกกระดาษไปโปรย ได้แค่ความสนุกและความหวังลมๆแล้งๆ เมื่อไหร่เขาจะคิดกันให้ละเอียดลึกซึ้งแบบเข้าถึงซึ่งสาเหตุ, กลไกของปัญหาเสียที...

ผมเก่งนักหรือที่เที่ยววิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ? ... ผมเป็นเพียงประชาชนคนธรรมดาคนหนึ่งที่เฝ้ามองดูการทำงานของรัฐบาลมาตลอด และในบ้างครั้งรู้สึกระคายเคีองกับการแก้ปัญหาลักษณะนี้ มันไม่แปลกและเป็นสิทธิ์ของทุกคนที่จะวิพากวิจารณ์ และอย่างน้อยความคิดของผมอาจใช้ได้ด้วย ...หุๆ

ประเด็นแรก ค่านิยมของวัยรุ่นในปัจจุบันเปลี่ยนไปเร็วแรงตามกระแสของแฟชั่น ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นการแต่งตัว, เสื้อผ้า, ทรงผม, ความคิด, การพูดจา, คำพูด, การแสดงออก, การใช้ชีวิต, การอะไรอีกเยอะแยะ กระแสต่างๆ ดังกล่าวมีที่มาจากหลายทาง เช่น สื่อ TV, วิทยุ (สถานีเพลง, DJ),อินเตอร์เน็ต, หนังเกาหลี, ญี่ปุ่น, ภาพยนต์โฆษณา, ภาพยนต์ช่องฟรี TV ทั้งหลายแหล่, เพลงของวัยรุ่น, ดารา, นักร้อง, นักแสดง หรือแม่แต่คนใกล้ตัว, เพื่อนร่วมงาน, ผู้ปกครอง จะเห็นว่าเรื่องนี้มันเยอะแยะและซับซ้อน คนที่เห็นพฤติกรรมของวัยรุ่นเป็นไปในทางที่แปลกๆ เช่น พักอยู่กับแฟน, ขับมอไซต์ซิ่ง, แต่งตัวแปลกๆ, ใช้ของฟุ่มเฟือย หรือมีนิสัยก้าวร้าวหยาบคาย แล้วไม่ทำความเข้าใจกับเหตุผลความเป็นมาของปัญหาเหล่านี้ก็น่าเสียดายปัญญาของตัวเอง

ผมกำลังจะบอกว่าการรับเอาแบบอย่างวัฒนธรรมหลายๆอย่างทั้งจากนอกประเทศ และจากในประเทศของเราเอง ตอนนี้มันเป็นไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่จะยับยั้งชั่งใจ มือถือเครื่องหนึ่งสามารถกด 1900 เพื่อเข้าสู่บริการหลากหลายประเภท, สร้างคลิปวิดีโอ, ถ่ายรูปแล้วนำเข้าอินเตอร์เน็ตและแพร่กระจายไปใน www อย่างรวดเร็ว เนื่องจากระบบอินเตอร์เน็ตที่กระจายไปทุกหัวระแหง ด้วยราคาค่าเช่าที่ถูกเหลือเชื่อ และความเร็วที่เพิ่มขึ้น อินเตอร์เน็ตเข้าไปถึงในห้องส่วนตัวของเด็กวัยรุ่น เยาวชน นักเรียน, ในโรงเรียน, ในร้านเน็ต ร้านเกมส์ เนื้อหาในอินเตอร์เน็ตมีการอัพเดทกันทุกวินาที และในหลายล้านเว็บไซต์ และยากต่อการควบคุมเนื้อหาและการเข้าถึง เช่นเดียวกันกับเนื้อหาในบทเพลง และการแสดงออกในหนังโฆษณา และหนังน้ำเน่าใน TV ไม่ว่าจะเป็นค่านิยมฟุ้งเฟ้อ การแย่งผัวเมีย การตบตีกันของนักแสดงหญิง บทเลิฟซีนของนักแสดง นอกจากนั้นชีวิตส่วนตัวของบรรดานักร้อง นักแสดงยังถูกแวดวงซุบซิบนินทาทั้งในหนังสือดาราและสื่ออื่นๆ เป็นที่มันปากของสังคม

ประเด็นต่อมาทุกคนในสังคมนี้มีอิสระที่จะเข้าถึงสื่อที่กล่าวมาได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็ว และยังมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยน ความคิด ความเชื่อได้ตามเรื่องที่ได้รับรู้อย่างง่ายดาย เพราะกระแสที่โหมกระหน่ำของสื่อต่างๆเหล่านี้กระพือไปเพื่อแลกกับเม็ดเงินมากมายในธรุกิจค้าขายเนื้อหาเหล่านี้ ผ่านมือถือ TV วิทยุ ถามว่า...หน่วยงานใดรับผิดชอบในการคัดกรองเนื้อหาเหล่านี้บ้าง ผมเห็นมีแต่เจ๊คนนึงคอยวิจารณ์การแต่งตัวของดารา แล้วเป็นกระแส และเงียบหายไป สุดท้ายก็เป็นประเด็นให้สังคมสนใจอยู่ระยะหนึ่ง แล้วดาราคนนั้นก็ดังชั่วข้ามคืน...เหอๆ ลองมองย้อนไปดูในอดีตว่ามีใครบ้างที่ถ่ายหนังโป๊ แล้ว TV ก็นำมาออกรายการ และหลังจากนั้นหนังก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หรือว่า ดาราทำจุกล้นบรา แล้วภาพนั้นก็ปรากฎใน TV, อินเตอร์เน็ต ปรู๊ดเดียวเธอก็เป็นที่รู้จักทันที ง่ายอย่างกะปอกกล้วย หากใครอยากจะดังในทุกวันนี้

ย้อนกลับมาดูว่าเรื่องที่เล่ามามันเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของคนในสังคมอย่างไร และจะนำไปสู่วิธีแก้ไขปัญหาได้อย่างไร (ภายใต้การปฏิบัติอย่างจริงจัง) เรื่องแรกคือเราต้องลบภาพความเชื่อแบบเก่าๆที่คิดว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมจะสามารถเรียกคืนมาได้อีก มันอาจทำได้ในบางท้องถิ่นที่ยังมีการติดต่อกับภายนอกไม่มากนัก และมีความภาคภูมิใจในวิถีดั้งเดิมของชุมชนและที่สำคัญท้องถิ่นหรือชุมชนดังกล่าวสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีรายได้ที่ดีพอ และไม่ลำบากเรื่องปัจจัยการครองชีพ แล้วใครล่ะที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของกระแสสังคมเหล่านี้ ก็คงเป็นในเขตเมืองที่ทุกคนต่างวุ่นวายกันการทำงานหาเลี้ยงชีพ ความเร่งรีบในเมืองหลวง ความพร้อมของสื่อในการให้บริการ ทางเลือกในการดำเนินชีวิตมีหลากหลาย และต้องเพ่งเล็งไปถึงกลุ่มอาชีพนักเรียนนักศึกษา เนื่องจากยังไม่สามารถหารายได้ได้เอง มีอิสระในการดำเนินชีวิตค่อนข้างสูง บางคนจากถิ่นฐานบ้านเกิดมาเพื่อเรียนหนังสือ และได้รู้จักเพื่อนใหม่มากมายจึงอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ บางคนมีแฟนและต้องการพักอาศัยร่วมกัน เนื่องจากหอพักในมหาลัยเต็ม หรือไม่อนุญาตให้หญิง-ชายพักด้วยกัน บางคนคบเพื่อนและพากันเที่ยวกลางคืน มั่วเซ็กส์ เสพยา เมาสุรา ทั้งๆ ที่กฎหมายไทยไม่อนุญาตให้ขายสุราแก่ผู้อายุต่ำกว่า 20 ปี และรัฐบาลก็ขึ้นภาษีสุราอย่างต่อเนื่อง แต่หารู้ไม่ ไทยเรายังครองอันดับ 5 ของโลกในการบริโภคสุรา ที่สำคัญเยาวชนดื่มมากขึ้น และเพศหญิงดื่มมากกว่าชาย เรื่องนี้ควรจะมีการศึกษาว่าทำไมจึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้... ยืดอกพกถุงในวัยเรียนเป็นเรื่องที่น่าคิดหรือไม่ว่าจะช่วยป้องกันเอดส์ ป้องกันการท้องก่อนวัยเรียน หรือยิ่งส่งเสริมให้เด็กนักเรียนมีเซ็กส์อย่างสบายใจกันแน่ ครั้งหนึ่งมีครูบาอาจารย์สนับสนุนโครงการตั้งตู้ถุงยางอนามัยในโรงเรียน โดยมีนักเรียนแกนนำมาร่วมโครงการ มีครูยุ่นคัดค้าน หุๆ ... การแก้ไขปัญหาหลายๆอย่างในปัจจุบันดูเหมือนจะยิ่งยากมากขึ้นโดยเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวข้องกับค่านิยมของสังคม สิ่งหนึ่งที่สังเกตุเห็นคือ คนในเมืองได้ดู TV หลายช่อง ส่วนคนชนบทได้ดูไม่กี่ช่อง สมองเน่าๆของผมเห็นว่าเราต้องเพิ่มช่องสัญญาณที่มีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ให้มากกว่านี้ เพิ่มรายการที่มีสาระต่อเด็กและเยาวชน รวมทั้งผู้ปกครองเองด้วย ไม่เช่นนั้นทางเลือกที่ยิ่งน้อยจะนำเราไปสู่ทางเลือกในการแก้ไขปัญหาที่น้อยตามไปด้วย เหมือนอย่างเว็บไซต์วาไรตี้ทั้งหลายที่นำเสนอภาพลับเฉพาะกันอย่างเนืองๆ คลิปหลุดดารา หนัง AV ต่างๆ อย่างโจ๋งครึ่ม สำหรับผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะอาจไม่มีปัญหาในการรับชมนัก แต่ต้องห่วงไยเด็กและเยาวชน และต้องหาทางสกัดสิ่งเหล่านี้ก่อนออกสู่สาธารณะให้มากที่สุด สุดท้ายมันอยู่ที่จิตสำนึกและการเข้มงวดกวดขันว่าจะทำได้มากเพียงใด ยังมีอีกมากที่อยากจะเขียนระบาย แต่คิดได้จะมาเพิ่มทีหลัง...