Saturday, November 28, 2015

บัณฑิตโชว์ 2015 ปีนี้แพ้ 3 เสมอ 1

แพ้ หมูหวาน (PH19)   0-1
แพ้ ลิเวอร์พรุน (PH21) 0-2
แพ้ Top 5 FC (วทบ.4) 0-4
เสมอ Pong Pri 2425  0-0

ปีนี้น้องๆเช่าสนาม Soccer Cube เป็นสนามหญ้าเทียมแถวๆวัดป่าอดุลยาราม เช่า 3 สนาม  แข่งครึ่งเดียว เวลา 15 นาทีจบ

นั่งดื่มเบียร์สดจารย์เม้งเอามา  ตอนเย็นไปร่วมงานคืนสู่เหย้า ประทับใจตอนน้องๆร้องเพลงคณะให้ฟัง  แล้วยังมี PH บูม อีกด้วย  บริจาคให้ชมรม ชคบ. ที่ปีนี้จะไปออกค่ายที่ อ.เชียงยืน เจอพี่วิทยา (พันธมิตร 119) ไปนั่งร้าน Der wind กับพี่วิทยา พี่ธิคุยกันเรื่องอุบัติเหตุของเรา มีตอนสำคัญตอนหนึ่งจำได้ว่า "ไม่มีใครรักเราเท่าพ่อแม่ของเรา"

ดูภาพดีกว่า...
















Saturday, November 21, 2015

ความจนและหนทางไกลห่าง

“จน เครียด กินเหล้า” โฆษณาของ สสส. เพื่อรณรงค์ให้คนไทยเลิกดื่มเหล้ากลายเป็นโฆษณาที่ติดตาประชาชนอยู่ในช่วงนี้ เหมือนจะบอกประชาชนว่า หากกินเหล้าแล้วจะทำให้จน เมื่อจนจึงเกิดความเครียด และเมื่อเครียดจึงหาทางระบายด้วยการดื่มเหล้า คล้ายเป็นวงจรอุบาทว์ของความจนที่บังเอิญถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการดื่มเหล้าด้วย

ถึงแม้ว่าวัตถุประสงค์หลักของโฆษณาดังกล่าวต้องการที่จะรณรงค์งดเหล้าก็ตาม จะเห็นว่าเรื่องของ
“ความจน” ก็เป็นประเด็นที่มีน้ำหนักไม่ต่างจากพฤติกรรมการดื่มเหล้า และได้รับการที่ได้กล่าวถึงมากไม่ว่าจะปัจจุบันหรืออดีตที่ผ่านมา ไม่ว่ายุคสมัยไหน รัฐบาลก็จะบรรจุนโยบายขจัดความจนไว้ในการบริหารประเทศเสมอ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ความจน ที่น่ารังเกียจของสังคมนี้ก็ยังไม่หมดไปเสียที ใครๆได้ยินคำนี้แล้วก็คงเบื่อหน่าย รังเกียจและชิงชัง ไม่อยากพบอยากเจอ ไม่ว่าชาติไหนๆ ความจนที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้นี้ได้ฝังรากลึกในบ้านนี้เมืองนี้ไปแล้ว ดังนั้นความจนนี้จึงน่าศึกษา เหตุเพราะมีความสำคัญกับชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคน
หญิงสาวที่ตวาดใส่ชายหนุ่มว่า เหม็นสาปคนจน เป็นคำพูดที่แสนเจ็บปวดแบบฝังลึกของชายหนุ่มหลายคน ถึงแม้ว่าบางครั้งจะเป็นการพูดเล่นก็ตาม
พิจารณาตามเหตุปัจจัย ตามหลักอิทธิบาท 4
1. “จน...อย่างไรเรียกว่า จน
คงยากที่จะระบุว่าสภาพใดของบุคคล หรือสังคมที่อยู่ในสภาพ จน แต่พออธิบายได้ว่า ความจนนี้รับรู้และสัมผัสได้โดยผ่านความรู้สึก ผ่านชีวิตประจำวันและการเป็นอยู่ จริงๆแล้วหากเรียกว่า ยากจน , ยากเข็ญ , ข้นแค้น , ลำบาก ก็น่าจะให้ความหมายได้ง่ายกว่า เพราะ ความจน หากหมายถึง “ความยากลำบาก” ในการ “เป็นอยู่” ในชีวิตประจำวันแล้วก็คงพอเข้าใจได้ แต่ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจสภาพชีวิตและความเป็นอยู่ก่อนว่ามีลักษณะอย่างไร
ชีวิต หรือความเป็นอยู่ของแต่ละคน หรือแต่ละสังคมย่อมมีความแตกต่างกัน เช่น สังคมเกษตรกรรม, สังคมค้าขาย, สังคมข้าราชการ ฯลฯ สุดแล้วแต่จะเรียก กรณีนี้ได้แบ่งความเป็นอยู่ของสังคมออกไปตามลักษณะการประกอบอาชีพ ซึ่งน่าจะเห็นได้ชัดเจนที่สุด ในแต่ละสังคมประกอบด้วยผู้คนที่อาศัยอยู่รวมกันและประกอบอาชีพเพื่อ “หาเลี้ยงตนเองและครอบครัว สำหรับผู้ที่แต่งงานแล้ว และหาเลี้ยงตนเองหรือคนรัก ในกรณีคนที่ยังโสด ดังนั้นในขั้นนี้จะเห็นว่า การเลี้ยงดูชีวิต (ตนเอง คนรัก หรือครอบครัว) นั้นหมายถึงการได้มาซึ่ง “ปัจจัยพื้นฐาน” เพื่อการดำรงชีพ ซึ่งอาจเป็นปัจจัย 4 หรือปัจจัยอื่นๆที่นอกเหนือจากนี้ (อาจไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐาน) และต้องใช้เงินตราเพื่อซื้อปัจจัยต่างๆไว้เพื่อการ “อุปโภค-บริโภค” ภายในครัวเรือน เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว เงิน จึงมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของคนมากหากต้องการ “จับจ่ายใช้สอย” ด้วยเงิน ดังนั้นหากมีเงินไม่พอก็ไม่สามารถซื้อในสิ่งที่ต้องการได้ เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการก็เป็นทุกข์ และหากต้องการเงินคนเราก็ต้องมีอาชีพเพื่อที่จะได้รับค่าตอบแทนเป็น “เงิน” หรือต้องขวานขวายเพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน หากต้องการเงินเพิ่มขึ้นคนก็ต้องทำงานหนักขึ้น หรือเปลี่ยนงานที่ให้ค่าตอบแทนมากกว่าเดิน หรือต้องเรียนหนังสือเพื่อให้จบการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น เพื่อแลกกับค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้น หรือบางครั้งบางคนอาจเลือกวิธีคดโกง ทุจริตก็เป็นได้ ซึ่งเกิดขึ้นอยู่ทั่วไปในสังคม
สภาพชีวิตที่ลำบากและดิ้นรนเพื่อแสวงหาปัจจัยในการดำรงชีวิตแล้วไม่ได้มาซึ่งปัจจัยที่ต้องการ หรือได้มาไม่เพียงพอนี้กระมังที่ทำให้คนเรานิยามคำว่า “จน” ขึ้นมา หรือบางทีอาจมีสาเหตุมากกว่านี้ที่ผมยังคิดไม่ถึง
2. เหตุแห่ง "ความจน"
หากจะพิจารณาโดยใช้หลักเศรษฐศาสตร์แล้ว ความจนที่เกิดขึ้นน่าจะเกิดด้วยความไม่สัมพันธ์กันระหว่างรายรับ-รายจ่าย การมองเช่นนี้มองในแง่ของ "เงิน" เพียงด้านเดียว ผมสังเกตจากการเปรียบวิถีชีวิตระหว่างคนบางกลุ่ม เช่น กลุ่มคนชนบทที่มีรายได้จากการทำนา โดยเฉพาะการทำนาที่ทำเพียงปีละครั้ง ใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน (มีบางคนกล่าวว่า ดำวันแม่ เกี่ยววันพ่อ หมายถึง ไถ คราด หว่าน ดำ ในราวเดือน สิงหาคม และเก็บเกี่ยวประมาณเดือนธันวาคม) แต่ระยะเวลาอาจไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับฟ้าฝนด้วย กระบวนการทำนานั้นเรียกได้ว่าสุดแสนจะลำเค็ญ เพราะจำเป็นต้องใช้ทั้งแรงงาน (คน, ควาย), เงินทุน และเทคโนโลยี (ปุ๋ย, ยากำจัดศรัตรูพืช, ยาฆ่าแมลง, เครื่องจักร) เกือบทุกขั้นตอนอาจต้องจ้างแรงงาน ซึ่งปัจจุบันค่าจ้างอยู่ราวๆ 120 บาท/คน/วัน ผมไม่ทราบว่าชาวนาใช้ปุ๋ยกี่กิโลกรัม/ไร่ ในช่วงที่ข้าวแตกกอ บางรายอาจใช้ยาฆ่าปู, หอย ซึ่งจะตกค้างในดิน, น้ำ และทำลายความสมบูรณ์ของดิน รวมทั้งอาจส่งผลต่อสัตว์ชนิดอื่น ทำให้ระบบนิเวศน์ถูกทำลายลงไปเรื่อยๆ การใส่ปุ่ยเคมียังทำให้ดินเค็มอีกด้วย (ตามข้อสังเกตุนี้ ในระยะยาวผลผลิตจึงน่าจะมีแนวโน้มลดลง) การทำนาที่ต้องหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดินนี้ทำลายสุขภาพของชาวนา และเสี่ยงต่อโรคภัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นโรคปวดเมื่อย, โรคไข้ฉี่หนู, โรคที่เกิดจากน้ำเป็นพาหะ (ท้องร่วง, อหิวา)...ฯลฯ ความลำเค็ญหลายประการบังเกิดขึ้นที่ทุ่งนา ถึงแม้ที่นี่จะเป็นแหล่งสร้างผลผลิตให้ชาวนาก็ตาม...ชาวนาบางคนต้องเป็นหนี้สิน เพราะเมื่อเงินไม่พอซื้อปุ๋ย ก็ต้องใช้วิธีเชื่อ คือใช้ก่อน ผ่อนทีหลัง สิ่งของหลายอย่างในตลาดหามาได้ด้วยการเชื่อพ่อค้าในตลาด แล้วจ่ายคืนเมื่อขายผลผลิต (รวมทั้งดอกเบี้ย...) ชาวนายังชีพด้วยข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักที่หาได้เอง ส่วนอาหารจำเป็นต้องแสวงหาเอาตามท้องไร่ท้องนานั่นเอง ในยามอดอยากก็แสนอด ปลา 1 ตัว อาจเลี้ยงสมาชิกในครอบครัวได้ทั้งบ้าน โดยการทำน้ำพริก จิ้มผักลวก และข้าวเหนียว อาจมีข้าวโพดต้ม, กล้วย หรือผลไม้อย่างอื่นอีกตามแต่จะหาได้ ผมเคยเห็นครอบครัวหนึ่ง มีลูก 8 คน รวมลูกเขย, ลูกสะไภ้อีก ก็เกือบ 12 คน พ่อ-แม่ อีก เป็น 14 คน รุมกินน้ำพริกในด้วย พวกเขาเชื้อเชิญผมไปร่วมด้วย ผมได้แต่บอกว่าผมกินมาแล้ว...ความรู้สึกตอนนั้นมันบอกไม่ถูก ไม่ได้รังเกียจเพียงแต่นึกเห็นใจคนจำนวนมากที่ร่วมวงอยู่ที่มีกับข้าวเพียงน้อยนิด แต่พวกเขาก็อยู่ได้ และโตขึ้น เพียงแต่ไม่ค่อยมีเนื้อหนังเท่าไร ถึงแม้ชาวนาจะหาอาหารได้เอง แต่ค่าอาหารนั้นไม่ได้แพงมากนัก เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายอย่างอื่น เช่น การต่อเติมบ้าน, การแต่งงาน, การจัดงานต่างๆ (ขึ้นบ้านใหม่, การเดินทาง, การซื้อเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ) ดังนั้น เพียงรายได้จากการขายข้าวปีละครั้ง จึงไม่พอกับค่าใช้จ่ายดังกล่าว ประกอบกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ของใช้หลายอย่างจากที่ไม่เคยซื้อ ตอนนี้ต้องซื้อแล้ว เช่น กระดาษชำระ น้ำยาล้างจาน, น้ำยาล้างห้องน้ำ



ข้อคิดดีๆ บ๊องๆ ของอุดม แต้พานิช

"สิ่งที่เรียนรู้เมื่ออายุปูนนี้ของ อุดม แต้พานิช"



เวลารถติด เลนอื่นมักไปได้เร็วกว่าเลนเราเสมอ
- ถ้าเราขับรถไม่ทันไฟเขียวเป็นคันสุดท้าย
ให้คิดว่าเดี๋ยวเราจะได้ไปเป็นคันแรก
- ถ้ามีการแนะนำตัวว่า "นี่เพื่อนฉัน" หมายความว่า "แฟนฉัน"
- ถ้ามีการแนะนำตัวว่า "นี่แฟนฉัน" หมายความว่า "ผัว/เมียฉัน"
---------------------------------------------------------------------
* มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี
* แฟนของคนอื่นมักจะสวยกว่าแฟนของตัวเอง
* เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์
เสียงมันมักจะหยุด เราจะช้าไป 1 จังหวะเสมอ
* ถ้าแอบรักใครอย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า
* เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักทีให้พูดว่าไม่เอาจะ
ได้เร็ว
* ถ้าเรียกเก็บเงินแล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่า
จะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที
* ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้านไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย

---------------------------------------------------------------------
* ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่งไม้,
ซอกตึก,อย่าตัดสินใจซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ
* ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ
* ระวังคน ที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ
* อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง
* หนังสือดีคือหนังสือที่เราชอบอ่าน, หนังดีคือหนังที่เราชอบดู
* อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ
ว่าอย่าบอกใครนะ
* อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว
คนล้างจะเสียความรู้สึก
* เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ
* อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ
* รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา
แต่ฝาน้ำมันไม่อยู่ขวาเสมอไป
* ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้
ยังไงเพื่อนต้องมี

---------------------------------------------------------------------
* อย่าเข้าใกล้หมาตอนกินข้าว
* ตลาด อตก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ติง เกินราคา
* เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระปุกน้ำอยู่ด้านไหน
* ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป
* คนไม่กินเนื้อไม่ได้แปลว่าเป็นดีเสมอไป
* เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีน ออกจากปากให้หลับตาด้วย
* ปูอัด มันทำจากปลา
* กระเพาะปลามันทำมาจากหนังหมู
* กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้อร่อยกว่า
* อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ
* ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรก
อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2ผอมลงนะ ไม่มีใครเข้ามาทักว่า
ปกติดีนี่ไปทำอะไรมา

---------------------------------------------------------------------
* คนที่เอาหมวกตำรวจหรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถมิใช่เพราะ
บ้านเขาไม่มีตู้ เขาไม่ได้ลืม เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร
* คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกันหลายๆตัว
เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา
* คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ
* ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน
* จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา
* เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดูหน้าที่ตัวเองพูดถึง
มักจะหาไม่เจอ
* ขนมและน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก
* ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต,
ห้องน้ำผู้ชายผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน

ขึ้นราคาเหล้า

ชาวบ้านหลายคนเลิกกินเหล้าขาวแล้ว เพราะเขาหันมากินเบียร์ช้างกันหมด เห็นได้จากเวลากลับบ้านไม่มีเบียร์ยี่ห้อไหนจะขายดีเท่าเบียร์ช้าง รัฐบาลประเทศนี้แก้ปัญหาไม่เป็น หากหวังดีกับประชาชนจริงๆ อยากให้ประชาชนสุขภาพดี ควรปิดโรงงานสุรา (รวมทั้งบุหรี่) ทุกแห่ง ยกเลิกการนำเข้า ยอมเสียรายรับจากภาษี หากเบียร์ขึ้นราคาบ้างสินค้าพวกนี้จะถูกนำเข้าโดยผิดกฎหมาย เราอาจได้ดื่มสุราปลอมๆ เมาแบบปลอมๆ ชีวิตปลอมๆ บางคนอาจจะบอกว่า ให้เลิกดื่มซะก็สิ้นเรื่องเพราะมันทำลายสุขภาพ แต่ไปดูสิ ไม่ว่าที่ไหนยังมีขายอยู่เลย จำกัดอายุคนซื้อเหรอ หึๆ ไม่เห็นจะได้ผล สมัยก่อนเห็นตำรวจจับชาวบ้านทำสาโท แต่เวลาผ่านไปก็อนุญาตให้ขายเหล้าแช่ เปิดเสรี มีเหล้าหลายยี่ห้อไหลเข้าประเทศ เด็กวัยรุ่นเดี๋ยวนี้ดื่มเก่งมากๆ และผมรู้สึกว่าผู้หญิงจะดื่มเก่งกว่าผู้ชาย (สังเกตจากเวลาไปเที่ยว ดูสาวสายเดี่ยวนั่งดูดเหล้ากันเมามันส์ ! ...) ฯลฯ แล้วอยู่ๆ ก็ขึ้นภาษี ขึ้นราคา นี่คือกลลวงของประเทศนี้ที่หวังหาเงินจากประชาชน ทำลายประชาชนของตัวเอง ขึ้นค่าแรง เป็น 230 เพื่อให้วัยแรงงานนำเงินมาซื้อเหล้า และจ่ายค่าครองชีพที่สูงขึ้น (ตลก ก๋วยเตี๋ยวที่เคยซื้อชามละ 20 เดี๋ยวนี้อย่างต่ำก็ 25, ก้อยที่เคยกินจานละ 30 เดี๋ยวนี้ก็อย่างต่ำ 40- ฮึ !) เพื่อนำเงินของประชาชนคนขี้เหล้ามาซื้อยา จ้างหมอ พยาบาลมารักษาโรคตับ ไต ใส้พุงของประชาชน (สุดท้ายไม่ได้อะไร)

่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการหลอกลวงเช่นนี้ และคิดว่าไม่ใช่ทางออกที่ควรจะเป็น เรื่องบุหรี่ก็เช่นกัน ปากว่าตาขยิบ รณรงค์เลิกบุหรี่ แต่ทำไมยังขายอยู่...โรงงานก็ยังเปิดอยู่ หรือเพราะเห็นว่ามันทำรายได้มากแค่นั้น หากเราคิดบนฐานของเงินเราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน แต่หากคิดบนฐานของการดูแลสุขภาพ เรื่องพวกนี้จะไม่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ผู้ใหญ่ของบ้านเมืองจะตาสว่างเสียที

สุดท้าย...บ่นไปก็เท่านั้น เพราะตัวเองก็ยังชอบดื่มอยู่ สำหรับเรื่องดื่ม/ไม่ดื่ม ผมว่าไม่สำคัญเท่าการควบคุมตัวเองให้ดื่มอย่างพอดี ไม่สิ้นเปลืองเกินไป ไม่เมาเกินไปจนทำงานไม่ได้ ไม่มีปัญหากับลูกเมีย เจ้านาย (และตัวเอง) รับผิดชอบต่อตัวเอง เพื่อนร่วมดื่ม และสังคม ไม่ขับรถเร็ว และออกกำลังกายบ้างก็ดี

นี่มันจะไปกันใหญ่แล้ว ผมเขียนเรื่องนี้ทำไมกัน... แค่อยากบ่นตามประสาจอมยุทธที่รำคาญการทำงานของรัฐบาลเท่านั้นแหละ อย่าคิดมาก

คิดว่าต่อไปจะทำสาโทกินเองแล้วล่ะ ไม่ง้อหรอก เชอะ ไม่แบ่งใคร

การสร้าง USB Flash Drive สำหรับบูตเครื่อง (Bootable Flash Drife) จาก Hiren ' Boot CD

อุปกรณ์

  1. แผ่น Hiren 's Boot CD ดาวโหลดได้จาก http://www.hiren.info แล้วเขียนลง CD
  2. USB Flash Drive
  3. คอมพิวเตอร์ (ที่สามารถกำหนด BIOS ให้บูตจากแฟลชไดร์ได้)
  4. โปรแกรมฟอร์แมตแฟลชไดร์ฟ ดาวโหลดได้จาก USB Disk Storage Format
  5. โปรแกรม UltraISO ดาวโหลดได้จาก www.freedownloadscenter.com

ขั้นตอน

  1. ใส่แผ่น Hiren's Boot CD (ผมใช้เวร์ชั่น 8.0) แล้วสร้าง Boot file โดยใช้โปรแกรม UltraISO ซึ่งจะได้ไฟล์ Hiren'sBootCD8.0.bif เซฟไว้ที่ D:\Hiren
  2. เปิดไฟล์ Hiren'sBootCD8.0.bif ด้วยโปรแกรม UltraISO ซึ่งจะมองเห็นไฟล์ต่างๆ ดังรูป
  3. เลือกไฟล์ทั้งหมด (กด Ctrl + A) แล้วคลิกขวา... extract ไฟล์ทั้งหมดไปไว้ที่ D:\USB ดังรูป
  4. ฟอร์แมต USB Flash Drive ด้วยโปรแกรม USB Disk Storage Format ที่ดาวโหลดไว้ตอนแรก โดยเลือก boot file จาก D:\USB ดังรูป
  5. เมื่อฟอร์แมตเสร็จ ใน Flash Drive จะมีไฟล์ IO.SYS, MSDOS.SYS, COMMAND.COM จากนั้น copy โฟลเดอร์ BootCD จากแผ่น Hiren Boot CD มาไว้ใน Flash Drive แล้ว copy ไฟล์จาก D:\USB (ห้าม copy ไฟล์ IO.SYS ทับไฟล์ IO.SYS นอกนั้นสามรถทับได้)
  6. ลบไฟล์ JO.SYS จาก Flash Drive เป็นอันเสร็จครับ..
  7. ทดลองบูตจาก Flash Drive ที่สร้างเสร็จแล้ว โดยกำหนด BIOS ให้บูตจาก Flash Drive ...

อ่านเพิ่มเติม

http://www.hiren.info/pages/bootcd-on-usb-disk

โฆษะ ฟุตซอล

พวกเรา ทีม "อ.คี้" หลังจากซุ่มซ้อมกันอยู่ราวๆ 1 เดือน แบบซ้อมบ้าง ไม่ซ้อมบ้าง สัปดาห์ละ 2-3 วัน เพื่อร่วมแข่งขันฟุตซอลที่ตึกคอมโฆษะ ในวันที่ 29 พย. 52 ผลปรากฎว่าแพ้ราบคาบ 0-6 ฮ่าๆๆๆ...(หัวเราะเยาะตัวเอง)

งานนี้มีสมาชิกทีม 8 คน ประกอบด้วย
  1. โจ้ (ผมเอง)
  2. งอน
  3. ต้น
  4. อ้อย
  5. เม้ง
  6. ตุ๊
  7. เล็ก
  8. เยา
บันทึกภาพการแข่งขัน ขอเชิญชมครับ























PH Soccer Leauge 2010

หลังจากไม่ได้บันทึกเรื่องราวของ PH Soccer Leauge ไปถึง 2 ปี มาคราวนี้ด้วยความรู้สึกว่าหากไม่ได้เขียนบันทึกเรื่องราวแห่งความสนุก และเก็บบรรยากาศระหว่างพี่น้องเอาไว้แล้ว ก็คงจะน่าเสียดายพอสมควรกับการที่นานๆทีจะมีพี่น้องร่วมคณะมาพบมาเจอกันเพียงปีละครั้ง สาเหตุที่หายไปถึง 2 ปีเนื่องจากรับไม่ได้กับความพ่ายแพ้ในปี 2008-2009 เป็นปีที่ไม่ชนะเลย

สำหรับปี 2009 ดูเหมือน "บัณฑิตโชว์" ก็ยังสะกดคำว่า "ชัยชนะ" ไม่ถูกอีกเช่นเคย ถึงแม้จะมีนัดพิเศษที่พบกับ "ทีละแบน" ที่พวกเราชนะด้วยสกอร์ที่จำไม่ได้

2010 ปีนี้งานแข่งบอลจัดขึ้นในวันที่ 4 กันยายน 2553 ก่อนถึงวันแข่งพวกเราเตรียมการกันมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการทำเสื้อทีม การติดต่อประสานงานเพื่อนสมาชิกในทีม และการหาสปอนเซอร์ด้วยความช่วยเหลือจากอาจารย์สมศักดิ์ ให้มา 2,000- พี่เอ๋ (เจริญชัย ศิริคุณ : PH13) ให้มา 1,000- พี่ตุ๊ (ดร.อัศมน ลิ่มสกุล : PH9) ก็ให้มาีอีก 1,000- ดังนั้นต้องประกาศดังๆ ให้รู้โดยทั่วกันถึงความกรุณาในครั้งนี้ และพวกเราบัณฑิตโชว์ทุกคนขอขอบคุณในความกรุณาของท่านอาจารย์และพี่ๆทุกคนมา ณ โอกาสนี้ครับ เงินจำนวนนี้ได้นำมาใช้จ่ายเป็นค่าอาหาร น้ำดื่ม สปอนเซอร์ในช่วงกลางวัน

ปีนี้พวกเราสวมเสื้ออาเจนติน่า ชุดฟุตบอลโลก 2010 ฟ้าขาวโดดเด่นที่สุดในสนามในราคาตัวละ 250- โดยมียอดจองทั้งหมด 44 ชุด มีการทำออกมา 2 ครั้ง ครั้งแรกนั้นใช้เงินอ้อยสำรองจ่ายไปก่อน ส่วนครั้งที่ 2 โจ้ (ผมเอง) รับผิดชอบซึ่งมีส่วนที่เหลือเป็นกำไรได้นำไปซื้อถุงเท้าสำหรับทุกคนที่ลงเล่น สรุปแล้วจำนวนคนที่มาในปีนี้มีดังนี้

รุ่น 1
  1. พี่สละ
รุ่น 12
  1. พี่กานต์
รุ่น 13
  1. พี่เอ๋
  2. พี่ป้อม
  3. พี่ฐา
รุ่น 14

  1. โจ้
  2. ฟาร์
  3. ยัน
รุ่น 15
  1. วัชระ
รุ่น17
  1. แอนดริว
  2. แกะ
  3. จ่อย
  4. ต้น
  5. อ้อย
  6. ชัช
  7. วัช
  8. ต๋อง
  9. ปีเตอร์
  10. เจี๊ยบ
  11. เม้ง
  12. เอ
  13. ริกกี้
และพี่อ้น (เพื่อนเรียนโท รุ่นเดียวกันกับพี่เอ๋) ท่านปลัดสุรพล (เทศบาลตำบลพังโคน) ก็มาร่วมชมร่วมเชียร์ข้างสนามด้วย รวมจำนวนคนที่มาวันนี้ทั้งหมด 23 คน