Friday, November 17, 2006

8-10 พ.ย. 49 เยี่ยมเพื่อนเต้งที่ปากช่อง

8 พ.ย. 49 : เดินทางไปปากช่อง


เมื่อคืนนอนเต็มที่วันนี้เลยสดชื่นหน่อย ผมแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ต กางเกงข้าสั้น สบายๆ ออกจากขอนแก่นตอน 10.00 น. ด้วย Mighty-X แล้วแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม ESSO ที่นี่ต้องเติม 800- จึงจะได้น้ำขวดนึง ผมแวะซื้อลูกชิ้นทอดใส่ถุงเสียบไม้กินไปพลางๆ ขณะขับรถ รสชาตค่อนข้างจืดชืด แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะตั้งใจจะกินรองท้องกันหิวเฉยๆ ขับไปเรื่อยๆ ผมชอบช่วงเช้าเพราะเดินทางสบาย และไม่ง่วง ถ้าขับรถตอนบ่ายง่วงทุกที ความจริงผมไม่ชอบการขับรถเท่าไหร่ โดยเฉพาะเจ้า Mighty-X ที่ค่อนข้างจะหนัก พวงมาลัยหมุนยากมาก และกำลังก็ไม่สู้จะดีนัก รถคันนี้พ่อให้มาหลังจากที่พ่อซื้อ D-Max คันใหม่ เจ้า Mighty-X คันนี้พ่อเคยซิ่งมาแล้วนักต่อนัก อายุการใช้งานก็ 10 ปีแล้ว แต่สภาพยังปึ้กอยู่เลย ออกตัวตอนแรกค่อนข้างอืดหน่อย แต่พอวิ่งที่ความเร็ว 90 – 100 กำลังพอดี

ผมเหยียบมาประมาณ 90-100 เพราะเส้นทางสายมิตรภาพช่วง ขอนแก่น-บ้านไผ่-เมืองพลมักจะมีตำรวจจับความเร็ว ระหว่างทางเจอด่านตำรวจเหมือนกัน แต่โชคดีที่ไม่โดนเรียก พอออกจากเมืองพลผมชักสบายใจขึ้นเพราะคิดว่าตำรวจน่าจะหมดแล้ว เลยเร่งความเร็วไปที่ 110 ที่ไหนได้พอจะถึงหนองบัวลาย มีเบ๊นซ์คันงามและปิ๊คอัพวิ่งแซงผมไป 2 คัน ปรากฎว่าเจอด่านตรวจ มีตำรวจ 2 คนยืนคอยท่าอยู่แล้ว ผมคิดว่าโดนแน่ๆคราวนี้ ปรากฎว่าปิคอัพคันก่อนหน้าผม และผมโดนเรียกทั้งคู่ แต่เบ๊นซ์กลับไม่โดน ทั้งๆ ที่เบ๊นซ์มาเร็วกว่าผมอีกแน่ะ ... เออ..!!! นี่เรียกว่าลำเอียงรึเปล่าหว่า... ผมหยุดรถและควานหากระเป๋าสตังค์เพื่อจะหยิบใบขับขี่ ผมคุยกับตำรวจครู่นึง

(ตำรวจ) “ไง...สุดหล่อไปไหนน้อ เร็วเกินไปนะ 112”
(ผม) “ไปโคราชครับ”
(ตำรวจ) “สปอตไลท์นี่ติดทำไม ติดไม่ได้นะ เพราะเดี๋ยวไปจะไปแยงตาคนอื่นเขา เขาให้ติดได้เฉพาะแถวภาคเหนือ ไปเอาออกซะ เดี๋ยวรับใบสั่งไปก่อนแล้วกัน”
(ผม) “แล้วจะจ่ายตอนไหนครับ ?”
(ตำรวจ) “ก็กลับมาเมื่อไหร่ค่อยมาจ่ายก็ได้”
(ผม) “ผมไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร”
(ตำรวจ) “เอางั้นจะจ่ายที่นี่ไหมล่ะ จ่ายนี่ก็ได้ 100 นึง ถ้าจ่ายในเมืองก็ 400”
(ผม) “ครับ...จ่ายที่นี่ดีกว่าครับ” แล้วผมก็ยื่นแบงค์ 100 ให้ตำรวจไปก็จบ


ผมขับต่อไปด้วยอาการเซ็งๆ นิดๆ ตรงที่มาพลาดโดนจับได้นี่แหละ และที่สำคัญรถเบ๊นซ์คันนั้นไม่เห็นจับ คงกลัวจะเจอเจ้านายมั้ง...หึๆ ขับมาเรื่อยๆ จนถึงช่วงโคราช-ปากช่อง ก็เลยแวะกินก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม เป็นเส้นเล็กเนื้อน้ำตก อร่อยดีในราคา 30 – ผมซื้อชาเขียวโออิชิขวดนึง พักหลังๆ นี่ผมชอบดื่มเพราะมันอร่อยและทำให้ไม่ง่วงด้วย แต่ราคาก็แพงนะ ขวดละ 20 แต่ผมรู้สึกว่าน่าจะดีกว่ากินน้ำอัดลมเท่านั้นแหละ รถใช้การได้ดีมากวิ่งฉิวเลย

พอถึงปากช่องผมก็โทรหาไอ้เต้งให้มันบอกทาง บ้านที่มันอยู่ชื่อหมู่บ้านซับมืด ทางเข้าบ้านนั้นอยู่ข้างโรงงานคัมพินา ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรเหมือนกันหลังโรงงานเป็นป่าอ้อย วิ่งไปซักระยะถนนก็เปลี่ยนเป็นลูกรัง หินก้อนใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย ข้างทางเป็นป่าอ้อย และสวนน้อยหน่า มีแต่ลูกโตๆทั้งนั้น ผมขับเลยทางแยกเข้าหมู่บ้านไปซะนี่ ขับไปเกือบจะถึงวัดถ้ำซับมืด จึงโทรหามันอีกทีแล้วเลี้ยวกลับมา ก็พบมันรออยู่ที่บ้านแล้วกับหมอศักดิ์ กำลังดูไก่ชน
(ไก่เงินแสนของเสี่ยเต้ง เห็นบอกชนะมาแล้ว)

พื้นที่กว้างพอสมควร คิดว่าราวๆ 1 งานเห็นจะได้ มีตัวบ้านชั้นเดียวก่ออิฐบล็อค ข้างในแบ่งเป็นห้องครัวและห้องนอน ห้องนอนทำเป็นชั้นลอยด้วย ที่นี่เสี่ยเต้งพักอยู่กับปุ๊ สาวชาวใต้ (พัทลุง) ซึ่งตอนนี้กำลังจะมีทายาทด้วยกัน เราทักทายกันตามประสาผมก็เล่าเรื่องโดนตำรวจจับให้ฟังนั่งดวดเหล้ากันยกแรก...



(ข้างๆ บ้านถ่ายจากกระท่อมหน้าบ้าน)

(มันแหละ ไอ้เสี่ยเต้งกับไก่คู่ใจ...ชอบนัก...)

หลังจากพักหายเหนื่อยแล้วพวกเราตกลงกันที่จะเริ่มดื่ม โดยทุกคนนั่งรถ Tiger 4W ของหมอศักดิ์ไปซื้อเหล้าที่ร้านแถวๆโรงงาน ได้โซดามา 1 โหล กับ Sprey 1 กลม จากนั้นก็เริ่มตั้งวงดื่มกันใต้ร่มก่อไผ่หน้าบ้าน คุยกันไปตามประสาเพื่อนฝูง ไอ้เต้งมันเตรียม “ปลาหมึก” ไว้แล้ว ปลาหมึกของมันจริงๆแล้วก็คือหลอดเลือดแดงใหญ่ของวัวบริเวณหัวใจและปอด พอใช้มีดแล่ตามยาวจะได้รูปร่างคล้ายๆปลาหมึก เคี้ยวกรอบดี จิ้มกับแจ่วขมๆ ใส่ดีวัวเข้าไปอย่างสุดยอด นั่นเป็นกลับแกล้มของบ่ายวันนี้
พวกเราดื่มได้แค่ 2-3 แก้วก็เริ่มออกอาการมึนๆ และคุยกันว่า Spey นี่มันแรงเอาการ พอใกล้ค่ำก็คุยกันว่าจะกินอะไรต่อดี สรุปได้ว่าจะกินต้มไก่กัน ไอ้เต้งมันเลี้ยงไก่ไว้เยอะเหมือนกัน ผมว่าเลี้ยงไก่นี่ได้ประโยชน์เยอะดี เอาไว้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นต้ม, ผัด, แกง, ทอด, ย่าง, นึ่ง และรสชาตก็ดีอีกต่างหาก หมอศักดิ์จัดการเชือดไก่และถอนขน ส่วนไอ้เสี่ยเต้งก็ปรุงรส จำไม่ได้ว่าคุยอะไรกันบ้าง เปิดเพลงเพื่อชีวิตผสมเพลงสากล ช่างเข้ากันได้ดีแท้ๆ คืนนั้นพวกเราอิ่มหนำสำราญกันมาก ไอ้เต้งเข้าไปนอนก่อน ส่วนผมกับหมอศักดิ์นั่งกินกันต่อ คุยกันสัพเพเหระ จนถึงราวๆ 6 ทุ่มถึงตี 1 ก็เข้านอนกัน



(หน้าบ้านมีก่อไผ่ เราปูเสื่อดวดเหล้ากันตรงนี้...ช่างลูกทุ่งดีแท้...)


9 พ.ย. 49 : ส่งวัวที่ป่าไผ่ และดวดต่อ


(สภาพผมตอนเช้า น้ำยังไม่อาบเลย เสื้อผ้าชุดเดิม...เน่าสุดๆ)


(ลักษณะคอกที่เลี้ยงวัว ส่วนใหญ่จะทำกันแบบง่ายๆ)

(รถของลูกพี่เสี่ยเต้งที่ใช้ขนวัว คันนี้แรงนะ)

ตื่นเช้าแล้ว ลูกพี่ออด ลูกพี่ของไอ้เต้งโทรมาตามให้เต้งไปจับวัวไปส่งลูกค้าที่ป่าไผ่ (หมู่บ้านแห่งหนึ่งละแวกนั้น) ผมติดรถไปกับมันไปถึงบ้านพี่ออดที่บ้านสอยดาว บ้านนี้อยู่บนเนินเขา หน้าบ้านพี่ออดเป็นโรงเรียนบ้านสอยดาว ได้เต้งจับวัวได้ 2 ตัวและลากขึ้นรถ ไปที่บ้านป่าไผ่ ผมแทบไม่ได้ช่วยอะไร เพราะทำอะไรไม่เป็น ได้แต่เดินถ่ายรูปวัวด้วยโทรศัพท์มือถือ Nokia 7160 ละมั้ง (จำรุ่นไม่ได้) คุณภาพของภาพถ่ายไม่ดีเท่าไร พอดูได้

(อีกมุมหนึ่งของคอกวัว)


(เคสซิ่งพวกนี้เอาไว้ใส่้อาหารให้วัวนะ)

(ใครอ่ะ ... ถ่ายตูทามมายฟะ)


(ที่นี่เขาเรียกว่า "งัว" นะ)

ส่งวัวเสร็จเราเอารถขนวัวไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และแวะเข้าห้องน้ำที่นั่น เพราะอาการหนักแล้ว ผมปวดปู้ดตั้งแต่อยู่ที่บ้านป่าไผ่นู่น อุตส่าห์ทนจนมาถึงปั๊มน้ำมันที่ตลาดปากช่อง


จากนั้นผมกับไอ้เต้งแวะซื้อบัตรเติมเงินที่ป่าไผ่ และไปหาลูกพี่ออดซึ่งพี่เขาบอกให้ไอ้เต้งไปส่งวัวอีกที่หนึ่ง ผมจึงขับรถของผมกลับไปที่บ้านไอ้เต้ง ก็เห็นหมอศักดิ์รออยู่ที่นั่นกำลังจะทำลาบไก่กินกัน ผมกับหมอศักดิ์นั่งดูวีดีโอ xxx ด้วยกันเป็นนานสองนาน คุยกันแต่เรื่องกามทั้งนั้น มีช่วงหนึ่งหมอศักดิ์บอกว่า “โอย ทนไม่ไหวแล้ว ต้องไปหาข่มขืนคนก่อนแล้ว” ผมก็ตลกอยู่ในใจ รู้แต่ว่าการคุยกันตามประสาเพื่อนฝูงในเรื่อง xxx นี้มันก็สนุกดี ระหว่างคุยเราดริ๊งกันด้วยเบียร์ช้าง เป็นออร์เดิฟ 3 ขวด รอเพื่อนเต้งกลับมา และพอมันกลับมาพวกเราก็ทำลาบไก่กินกับบักลิ้นฟ้า (เพกา) ที่ขึ้นอยู่ริมรั้วไอ้เต้งนั่นเอง


(มันบอกว่าไก่มันสวย ผมว่าถ้าต้มคงอร่อยนะ...อิๆ)

กินข้าวเสร็จผมรู้สึกง่วงๆ แถมเมาด้วย ก็เลยหาที่เอนหลังสักหน่อย ได้เปลญวนที่หน้าบ้านนั่นแหละ ตื่นขึ้นมาพบว่ามีเพื่อนๆไอ้เต้ง 3-4 คนมาชนไก่ด้วย ผลคือสู้ไก่ไอ้เต้งไม่ได้ จากนั้นทุกคนก็นั่งล้อมวงดื่มกันต่อ มีพี่คนนึงเอาต้มปลาไหลมาด้วย รสชาตไม่เลวทีเดียว ผมนั่งดื่มด้วยอาการเบลอๆ และดื่มอย่างช้าๆ เพราะรู้สึกว่าเมาแล้ว ตกเย็นผมคุยกับไอ้เต้งถึงกิจกรรมที่จะทำต่อตอนเย็น โชคดีที่มันต้องไปส่งวัวที่นครนายก ไม่งั้นผมคงไม่รู้จะทำอะไร ผมตกลงที่จะนั่งไปกับมัน
49 : โรงฆ่าสัตว์ที่นครนายก สยองสุดๆ

ผมกับไอ้เต้งออกจากบ้านตอน 2 ทุ่มพร้อมกับวัวไทย อีก 4 ตัวเตรียมจะไปขายให้โรงฆ่าสัตว์ที่นครนายก ซึ่งต้องใช้เวลาขับรถประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ไปทางมิตรภาพ – แก่งคอย – นครนายก ระหว่างเข้าตัวจังหวัดไอ้เต้งมันต้องคอยระวังด่านตำรวจ มันเล่าให้ฟังว่าแถวนี้มักจะมีตำรวจดักและเรี่ยไรเงินจากบรรดาพวกขนวัวเป็นประจำ โดยต้องจ่ายประมาณ 100- รถวิ่งไปถึงโรงฆ่าสัตว์ ซึ่งที่แห่งนี้มีลูกจ้างที่เป็นแขกชาวพม่าประมาณ 5 คน และผู้หญิงซึ่งเป็นเมียของบางคนในนั้น 2 คน พูดไทยไม่ค่อยชัด ตอนพวกผมไปถึงพวกเขาพึ่งชำแหละวัวเสร็จไปก่อนแล้ว 2 ตัว เป็นวัวของลูกพี่ออดเหมือนกัน น่าจะตัวใหญ่พอสมควร เพราะน้ำหนักเนื้อของแต่ละตัว 100 กก.ขึ้นทั้งนั้น ผมตั้งใจที่จะรอดูว่าแขกเขาจะฆ่าวัวอย่างไร ทั้งๆ ที่ในใจก็กลัวพอสมควร วิธีการที่พวกแขกทำคือหลังจากเอาวัวลงจากรถแล้วเขาจะใช้เชือกมัดปากวัวไม่ให้ร้อง และอีกเส้นมัดขาหลังแล้วดึงให้ล้มลง วัวทั้ง 4 ตัวถูกบังคับให้ล้มลงนอนเรียงกันทีละตัวๆ พวกผู้หญิงก็ใช้น้ำสาดเพื่อล้างวัวให้สะอาดขึ้น ผมนั่งดูด้วยใจที่สงสาร เพราะวัวบางตัวก็ทำท่าขัดขืน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ชะตามันใกล้ถึงฆาตรแล้ว...

และแล้วก็มาถึงนาทีของการเชือด แขกคนหนึ่งถือมีดที่คมมากเดินปาดคอตัดเส้นเลือดแดงที่คอวัวทีละตัวอย่างเลือดเย็น เลือดพุ่งออกจากคอวัวกระจายตามพื้น บางครั้งก็ใช้กะละมังรองเลือดที่ไหลออกมา ภายในไม่กี่วินาทีวัวทุกตัวก็ตายหมด ขณะนั้นผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งสงสารและตกใจกับวิธีการฆ่าวัวของพวกเขา ไอ้เต้งเดินมานั่งด้วยถามว่า “ดูได้ไหมหำ” ผมก็บอกว่า “โอย...ช่างน่ากลัวอะไรยังงี้” พลางคิดในอีกด้านหนึ่งว่า แต่ถ้าไม่มีคนพวกนี้เราคงไม่ได้กินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อ หรือผัดเนื้อน้ำมันหอย รวมทั้งพวกเนื้อสเต็กที่อาเสี่ยกับอีหนูกำลังนั่งกินกันอยู่ที่ร้านซักแห่ง เขาจะรู้ถึงความทรมานของสัตว์พวกนี้บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรืออาจเป็นร้านเนื้อเกาหลีที่หนุ่มสาวกำลังนั่งกินดื่มเบียร์คุยกันอย่างสนุกสนาน ผมคิดว่าบางทีเราอาจสวดมนต์แผ่เมตตาให้สัตว์เหล่านี้ที่ต้องพลีชีวิตเพื่อเป็นอาหารของคน...ผมนั่งดูพวกแขกชำแหละเนื้อวัวจนเสร็จ ซึ่งตอนนั้น 6 ทุ่มแล้ว วัวที่ขนมามีน้ำหนักเนื้อราวๆ 70-80 กก. รวมแล้วทั้ง 6 ตัวหนักประมาณ 600 กว่ากิโล ราคาขาย กก. ละ 113 บาท รวมแล้วได้เงิน 70,000 กว่าบาท
ตอนกลับเราซื้อเนื้อหนอก (อยู่บนหลังวัว ตรงกับขาหน้า), เนื้อสันใน, ร่องโครง และเครื่องในกลับมาด้วยเพื่อจะทำก้อยดึกกินกัน ซึ่งผมยังไม่แน่ใจว่าจะกินลงหรือไม่ ก่อนออกจากนครนายกเราแวะซื้อเบียร์ที่ร้าน 7/11 หน้าร้านมีกระเทย 2 ตัวกำลังหาผู้ชายอยู่ และสงสัยจะสนใจพวกเราอยู่ แต่ผมเกลียดกระเทย ผมไม่ค่อยชอบเลย ก็เลยไม่สนใจ ตอนกลับพวกเรานั่งรถดื่มเบียร์ไปด้วย มาถึงบ้านไอ้เต้งตอนตี 1 พวกเราง่วงมากแล้ว แต่ยังมิวายทำก้อยกินกันตามระเบียบ พวกเรามักจะซื้อเนื้อมาทำก้อยกินกันเสมอเวลาเจอกัน จนกลายเป็นธรรมเนียมการพบปะกันของผมกับไอ้เต้งไปแล้วผมพยายามลืมเรื่องที่โรงฆ่าสัตว์ และพบว่าก้อยคืนนั้นก็อร่อยดี รสขมนี่สุดจะพรรณา สงสัยจะขมถึงพรุ่งนี้กระมัง...9 : เหยี่ยวนกเขาเสร็จไอ้แสนแสบ ...เดินทางกลับขอนแก่น

เช้าอีกแล้ว จนถึงวันนี้ตั้งแต่ผมมาถึงปากช่องนี่ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลยซักครั้ง ดื่มกาแฟกับไอ้เต้ง วันนี้ไอ้เต้งเอาไอ้แสนแสน นกเขาที่ยืมมาจากเพื่อนไปต่อที่ป่าละแวกนั้น หมอศักดิ์มาแวะตามเคย ผมถามถึงกิจวัตรประจำวันของแกว่าทำอะไรบ้างก็เห็นบอกว่า ตื่นเช้าจะแวะไปดูวัวให้ลูกค้า ถ้าเจ้าของวัวเขามีปัญหาเขาจะโทรมาเรียกแกไปดูให้ มี 2 เวลา คือเช้า และบ่าย เนื่องจากเขาจะรีดนมกัน 2 ครั้ง คือ 6.00 น. และ 15.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาทำงานของหมอศักดิ์ด้วย เพื่อที่จะผสมเทียม, ฉีดวัคซีน และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งแกให้ข้อมูลว่าเดี๋ยวนี้มีคู่แข่งเยอะเหมือนกัน ผมดูท่าทางแกจะมีเวลาว่างเยอะ เพราะแกจะชอบมานั่งเล่นกับเสี่ยเต้งประจำในตอนกลางวัน และแว้บออกไปหาลูกค้า แล้วกลับมาอีกตามเคย วันนี้ก็เช่นกัน

ผมกับหมอศักดิ์นั่งดื่มเบียร์กันอีกตามเคย และคุยกันว่าจะทำผัดกระเพราเนื้อ โดยใช้เนื้อส่วนหนอกมาทำกินกัน เนื้อส่วนนี้มีเอ็นเส้นเล็กๆ แทรกอยู่ทั่วไป พอทำสุกแล้วรสชาตดีทีเดียว กรอบเคี้ยวง่าย ส่วนไอ้เต้งทำผัดเนื้อสันใน รสขมอีกตามเคย พวกเรากินกันอย่างเอร็ดอร่อย ผมแทบเหงื่อแตกกับรสเผ็ดร้อนของกระเพรา จากนั้นไอ้เต้งไปดูแสนแสบแล้วหิ้วกลับมาพร้อมกับเหยี่ยวที่ติดอยู่กับตาข่าย


(เหยี่ยวนกเขา เกือบสังหารเจ้าแสนแสบซะแล้ว...)


(เหยี่ยวนกเขาที่เคยบินอยู่สูง แต่ต้องแพ้กับดัก เพียงเพราะต้องการโฉบลงมางาบเจ้าแสนแสบ
และสุดท้ายก็แพ้ภูมิปัญญาของคน...)

เหยี่ยวที่ว่าเป็นเหยี่ยวนกเขา รูปร่างพิลึก อ้าปากขู่พวกเราอยู่ แต่ทำอะไรไม่ได้ ตามันเป็นสีเหลืองคมเชียว ตัวขนาดนกเขา พวกเราตื่นเต้นกันใหญ่ ไอ้เต้งมันบอกว่า “เกือบไอ้แสนแสบตาย”

(ผมเองก็พึ่งเคยเห็นตัวเป็นๆ นี่แหละ เจ้าเหยี่ยวนกเขานี่)

เห็นไอ้เต้งมันเล่าว่าเยี่ยวพวกนี้เวลาเจอนกเขามันจะโฉบลงมาแล้วใช้นิ้วอันแหลมคมขยุ้มหัวนกเขาขาดไปเลย หากมันติดตาข่ายของนกต่อมันจะใช้นิ้วตีนนั่นแหละแหย่เข้าไปในกรงเพื่อจะขยุ้มนกเขาที่อยู่ข้างใน หากมันทำสำเร็จล่ะก็ นกเขาก็ไม่น่าจะรอด นับว่าน่ากลัวเอาการ เจ้าแสนแสบขนปีกร่วงไปนิดนึงคงจะดิ้นหลบเจ้าเหยี่ยวตัวนี้ ผมถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน เพื่อที่จะเอามาลงในบันทึกนี้ด้วย หลังจากนั้นไอ้เต้งมันก็ไปขนวัวอีกตามเคย ผมและหมอศักดิ์ก็ได้เวลาแยกย้ายกัน ผมอาบน้ำและเดินทางกลับขอนแก่น จบการเดินทางเพียงเท่านี้พร้อมๆกับความทรงจำหลายอย่าง...
มาถึงขอนแก่นประมาณ 5 โมงเย็น เป็นอันจบทริปการเดินทางไปเที่ยวบ้านไอ้เต้งที่ปากช่องเพียงเท่านี้ครับผม ...

No comments: